Seiko Marinemaster SBDX023/SLA021/SLA021J1 ต่างจาก SBDX017 ตรงไหนบ้าง

0

ได้ข่าวว่า วันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ Seiko MM300 รุ่นใหม่ที่จะใช้รหัส SBDX023/SLA021/SLA021J1 จะเริ่มทำตลาดอย่างเป็นทางการ แต่ก็เริ่มมีข่าวและรายละเอียดหลุดออกมาให้รับทราบเป็นระยะๆ วันนี้ทาง Ana-Digi.com ก็เลยรวบรวมข้อมูลเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับช่วยในการตัดสินใจและพิจารณาให้เห็นความต่างของนาฬิกาทั้ง 2 รุ่นว่ามีตรงไหนบ้าง

Seiko Marinemaster SBDX023/SLA021/SLA021J1 ต่างจาก SBDX017 ตรงไหนบ้าง

- Advertisement -

วันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีการเริ่มทำตลาด Marinemaster หรือ MM300 รุ่นใหม่ในประเทศญี่ปุ่น แน่นอนว่าหลายคนเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาทันทีว่า แล้วมันต่างจากรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้วอย่าง SBDX017 อย่างไรบ้าง ? เราพยายามรวบรวมข้อมูลมาจากหลายๆ แหล่ง ซึ่งต้องบอกว่ายังไม่ถึงกับเป็นทางการมาก แต่ก็น่าจะเพียงพอที่ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมได้อย่างไม่ยาก

ป.ล. บทความนี้ทำขึ้นจากข้อมูลที่ทางทีมงาน Ana-Digi.com พยายามหาจากอินเตอร์เนต และวิเคราะห์จากความเป็นไปได้ในด้านต่างๆ อาจจะมีความคลาดเคลื่อนจากข้อมูลจริงบ้าง แต่ก็เชื่อว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นครับ ถ้านาฬิกาเรือนจริงเปิดตัวพร้อมกับข้อมูลแบบเต็มๆ ออกมาเมื่อไร จะมาอัพเดทกันอีกครั้งครับ

ความเปลี่ยนแปลงในด้านรหัสรุ่น : น่าจะเป็นครั้งแรกสำหรับ MM300 รุ่นมาตรฐานที่มีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของรหัสรุ่น เพราะจากเดิมที่เราใช้ SBDX001 และ SBDX017 มาโดยตลอดไม่ว่าจะขายในญี่ปุ่นหรือตลาดโลก แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ โดยถ้าเป็นรุ่นที่ขายในตลาดญี่ปุ่นหรือ JDM จะใช้รหัส SBDX023 แต่พอมาเป็นเวอร์ชันสำหรับตลาดโลกก็จะมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็น SLA021 และ SLA21J1 แต่เชื่อว่าคงไม่ได้แตกต่างอะไรมากมายในเรื่องกายภาพนอกจากป้ายแท็คและสมุดคู่มือ

สิ่งที่เปลี่ยนไปบนหน้าปัด : ถ้าคุณไม่มีภาพของ SBDX017 อยู่ในหัว เราเชื่อว่าหลายคนไม่สามารถแยกความแตกต่างได้อีกเลย นอกจากว่าบนหน้าปัดไม่มีคำว่า Marinemaster และมีโลโก้ Prospex อย่างตัว PS ที่วางจนดูคล้ายตัว X เข้ามาแทนที่ จนหลายคนเบ้ปากแล้วบอกว่า ‘มันหมดความขลังแล้ว’ นั่นคือ ความต่างในเชิงรูปลักษณ์อย่างแรกที่เชื่อว่าหลายคนแยกออก แต่เรากำลังจะบอกว่า แม้รหัสรุ่นของ MM300 ใหม่จะเปลี่ยนมาเป็น SBDX023 สำหรับรุ่นที่ขายในญี่ปุ่น และ SLA021/SLA021J สำหรับรุ่นต่างแดน แต่ถ้าเปรียบเทียบในเชิงของการเป็นรถยนต์แล้ว มันก็แค่การปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ ไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นโมเดลเชนจ์หรือรุ่นเปลี่ยนโฉม เพราะหลายๆ อย่างยังมีขนาดและรูปแบบที่คล้ายกันอยู่

แล้วที่เหลือละ

-ชุดเข็ม : เท่าที่ดูจากตาเปล่า ในแง่ของรูปร่างและหน้าตานั้นไม่ได้เปลี่ยนอะไร จะมีก็แค่เข็มวินาที ซึ่งรุ่น SBDX017 จะเป็นแบบเข็มเงิน แต่เมื่อดูจากภาพที่ทางร้านค้าออนไลน์อย่างบ Shoppinginjapan.com นำออกมาเปิดตัวให้เห็นนั้น สีของเข็มวินาทีในรุ่น SBDX023 จะออกเหลื่อมๆ สีทอง

-สีตัวเลขบนหน้าปัด : ตรงคำว่า 300m แบบเดิมเป็นสีขาว แต่ในรุ่นใหม่เป็นสีเหลืองทอง

Bezel : สิ่งที่เรารับทราบและเป็นข้อมูลที่หลุดออกมานานแล้วคือ ใน MM300 ใหม่จะมากับ Bezel แบบใหม่ที่ใช้วัสดุซึ่งเรียกว่า Zirconia ซึ่งก็คือ Ceramic นั่นแหละ แต่สิ่งที่คนทั่วไปยังไม่ทราบคือ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น

-พรายน้ำบนหลัก 12 : มีการเปลี่ยนจากแบบปุ่มยุบลงไป มาเป็นแบบการแต้มพรายน้ำเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมยอดตัดและหัวคว่ำบน Bezel เลย

-ฟอนต์ตัวเลขบน Bezel : จากเดิมเป็นสีออกสีเงิน ในรุ่นใหม่เป็นสีขาว ส่วนรูปแบบของฟอนต์เท่าที่ลองใช้ตาพิจารณาจากภาพที่มีอยู่นั้น พบว่าแทบไม่ต่างกันในเรื่องรูปแบบของฟอนต์ แต่ดูเหมือนตัวเลขจะมีความหนาเพิ่มขึ้น

-เรื่องพรายน้ำบน Bezel : ประเด็นนี้มีคนหยิบยกขึ้นมาพูดถึง แต่ตามข้อมูลยังไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน แต่คิดว่า ‘ไม่น่ามี’ ด้วยเหตุผลประกอบคือ Seiko มักจะทำเฉพาะในรุ่นพิเศษที่เป็น Limited Edition เท่านั้น อย่างในกรณีของ Tuna Can อย่าง White Dolphin และ Blue Ocean รวมถึงรุ่นฉลอง 50 ปีของการผลิตนาฬิกาดำนื้ที่เปิดตัวเมื่อปี 2015 และรุ่นพิเศษอย่าง SLA019 หรือ SBDX021 ต่างก็มีการแต้มพรายน้ำให้กับตัวเลขบน Bezel แต่ก็เฉพาะหลัก 0 ไปจนถึง 20 เท่านั้น ไม่ใช่แต้มครบทุกหลัก ดังนั้น ถ้าถามถึงเรื่องนี้ คำตอบจากเราคือ คิดว่าไม่น่าจะมี เพราะยังไม่มีภาพยืนยันออกมาอย่างเป็นทางการ

***ตอนนี้มีการยืนยันว่า MM300 ใหม่จะมีพรายน้ำบน Bezel ด้วยครับ ผมไม่ขอแก้ข้อมูลข้างบนนะครับ แต่ใช้พารากราฟนี้ยืนยันแทน***

ขนาด รูปทรง และสาย : เมื่อดูจากหน้าตาและรูปทรงที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนั้น ขณะที่ข้อมูล ซึ่งเราได้มาเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับขนาดของ SBDX017 แล้ว ก็ไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้น เราเชื่อว่า Seiko คงไม่ลงทุนถึงขนาดสร้างแม่พิมพ์ใหม่ขึ้นมากับความเปลี่ยนแปลงเพียงแค่นี้ ส่วนเรื่องของความหนาหรือความสูงก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการเปลี่ยน Bezel ใหม่ที่ดูใหญ่ขึ้น และมีลวดลายบนขอบที่แตกต่างออกไปจากรุ่น SBDX017

นอกจากนั้น ตัวเรือน และสายจะมีการเคลือบ Diashield ซึ่งในส่วนของสายเหล็กนั้น ดูจากภายนอกแล้ว รูปทรงและลวดลายไม่ได้เปลี่ยนจากรุ่นเดิม จะมีก็สายยางที่เปลี่ยนมาใช้แบบเดียวกับนาฬิกากลุ่ม Prospex รุ่นรองๆ

SBDX023/SLA021 SBDX017
เส้นผ่านศูนย์กลาง (มม.) 44.3 44.3
Lug to Lug (มม.) 50.5 50.5
ความสูง (มม.) 15.4 15
ความกว้างขาสาย (มม.) 20 20

 

กระจกเปลี่ยนใหม่ : จากเดิมที่เป็นแบบ Hardlex ทรงโดม มาตลอดทั้ง 2 รุ่น ในตอนนี้ทาง Seiko ยอมปรับเปลี่ยนแล้ว โดยจะเป็น Sapphire พร้อมเคลือบสารกันการสะท้อนแสงที่ด้านใน

กลไก : ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ซึ่งกลไก 8L35 ยังรับหน้าที่ในการขับเคลื่อนเหมือนเดิม โดยเดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงานได้ 55 ชั่วโมง และมีความคลาดเคลื่อนในระดับ -10 ถึง +15 วินาทีต่อวัน

สีใหม่ : ยังไม่มีภาพที่เป็นทางการออกมา และในช่วงนี้ดูเหมือนว่า Seiko จะเน้นไปที่หน้าปัดดำเพียงอย่างเดียว เราเลยยังไม่กล้าที่จะฟันธงว่า มันจะมีรุ่นสีน้ำเงินตามออกมาขายควบคู่กันตามที่มีภาพในอินเตอร์เนตหรือไม่ โดยรหัสที่มีขายเป็น SLA023J1 ไม่มีรหัสของ JDM ดังนั้น มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่า อาจจะเป็นสีพิเศษสำหรับตลาดยุโรปหรือเปล่า เพราะที่นี่จะใช้รหัสที่ต่อท้ายด้วย J

ราคา : 320,000 เยนตามป้าย ส่วนรุ่นเดิมอย่าง SBDX017 นั้นมีราคาอยู่ที่ 290,000 เยน