OMEGA Speedmaster X-33 Marstimer ทะยานสู่ดาวอังคารอย่างเต็มตัว

โดย

MP4/4

28/09/2022

X-33 มีต้นกำเนิดมาจากการเป็นนาฬิกาที่ถูกออกแบบเพื่อการเดินทางไปยังดาวอังคารอันเป็นเป้าหมายดั้งเดิมตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 และในตอนนี้ โอกาสที่นาฬิกาเรือนนี้จะถูกใช้ในการภารกิจเดินทางสู่ Red Planet เริ่มมีความหวังแล้ว เมื่อ OMEGA จับมือกับ ESA ในการพัฒนา Speedmaster X-33 The Marstimer เพื่อให้มีฟังก์ชั่นที่สามารถใช้งานได้บนดาวอังคาร และรองรับกับโปรเจ็กต์ใหม่ที่ ESA กำลังวางแผนมุ่งหน้าไปที่นี่

- Advertisement -

OMEGA Speedmaster X-33 The Marstimer

OMEGA Speedmaster X-33 Marstimer ทะยานสู่ดาวอังคารอย่างเต็มตัว

นาฬิกาที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงร่วมกับทาง ESA เพื่อใช้ในภารกิจเดินทางไปดาวอังคาร
การปรับปรุงอยู่บนพื้นฐานของรุ่น X-33 Skywalker แต่มีการเปลี่ยนกลไกใหม่เป็นรหัส 5622
เป็นแค่รุ่นพิเศษไม่ได้ผลิตจำกัด และมีราคาอยู่ที่ 231,000 บาท

เรียกว่ามีไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นความแปลกใหม่จากนาฬิกา 2 ระบบในตระกูล X-33 Skywalker ของ OMEGA Speedmaster ที่มาพร้อมกับรุ่นใหม่ เพราะหลังจากที่พวกเขาเคยเปิดตัวรุ่น Solar Impulse และ Regatta ในปี 2015 และ 2017 แล้ว เรายังไม่เห็นผลผลิตใหม่ออกมาอีกเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้กับรุ่น OMEGA Speedmaster X-33 Marstimer

OMEGA Speedmaster X-33 The Marstime

X-33 ถือเป็นนาฬิกาแบบ Analog-Digital ที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการเพราะถือเป็นครั้งแรกที่ OMEGA นำระบบนี้เข้ามาใช้กับนาฬิกาในตระกูล Speedmaster Professional ซึ่งตามปกติแล้วจะมีแค่กลไกไขลานแบบดั้งเดิมและอัตโนมัติ โดย X-33 รุ่นแรกเปิดตัวในปี 1998 และทำตลาดในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะหายไป และทางแบรนด์เองก็ปัดฝุ่นนำชื่อนี้มาใช้อีกครั้งด้วยนาฬิการุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า Speedmaster X-33 Skywalker ที่เปิดตัวในปี 2014 พร้อมความเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด โดยที่ยังคงคุณสมบัติเดิมในการเป็นนาฬิกาควอตซ์แบบ 2 ระบบ

สำหรับรุ่นใหม่อย่าง OMEGA Speedmaster X-33 Marstimer เป็นผลผลิตที่เกิดจากความร่วมมือของ OMEGA องค์การบินและอวกาศของยุโรปอย่าง ESA-European Space Agency ซึ่งกลายมาเป็นพันธมิตรใหม่ของแบรนด์ และทาง ESA เองก็มีแผนที่จะลุยดาวอังคาร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดดั้งเดิมของ X-33 จนถูกเรียกว่าเป็น Mars Watch

ในแง่ของรูปแบบและขนาดตัวเรือนยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจาก X-33 Skywalker รุ่นดั้งเดิม ตัวเรือนที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 45 มิลลิเมตรและผลิตจากไทเทเนียม เกรด 2 ส่วนสายจะเป็นส่วนผสมของไทเทเนียมเกรด 2 และเกรด 5 สำหรับอินเสิร์ตบนขอบตัวเรือนถูกเปลี่ยนแปลงไม่เฉพาะแค่สีเท่านั้น

แต่รวมถึงรายละเอียดที่อยู่ในนั้นด้วย โดยอินเสิร์ตผลิตจากอะลูมิเนียมและจะมากับสีแดงอมน้ำตาลที่ถูกเรียกว่า Red Hematite เพื่อสะท้อนถึงสีพื้นผิวของดาวอังคาร ที่สำคัญบนตัวเลขของสเกลจับเวลาบนอินเสิร์ตชุดนี้จะมีการเคลือบด้วยสารเรืองแสงเอาไว้ด้วย

นอกจากนั้น สีนี้จะถูกใช้กับการคาดบนแถบของปุ่มกดในตำแหน่ง 10 นาฬิกา และการไล่โทนสีบนเข็มวินาทีจากสีดำมาแดง ขณะที่ตัวหน้าปัดเองเป็นแบบ LCD และการเรืองแสงจะแสดงเฉพาะในส่วนของตัวเลขเท่านั้น ไม่ได้สว่างขึ้นทั้งหน้าจอเหมือนกับรุ่นเก่า

OMEGA Speedmaster X-33 The Marstime

แน่นอนว่าด้วยการที่นาฬิกาเรือนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานสำหรับการลุยดาวอังคาร (ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้) ดังนั้น ระบบต่างๆ จึงถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับการใช้งานที่นั่น โดยระบบใหม่ที่อยู่ในกลไกรุ่นใหม่ในรหัส Calibre 5622 (แทนที่รุ่นเดิมในรหัส Calibre 5619) จะถูกออกแบบและพัฒนา

รวมถึงทำการทดสอบร่วมกับ ESA (ซึ่งบนฝาหลังจะมีการสลักข้อความที่ว่า ESA tested And Qualified เอาไว้ และฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา เช่น MTC หรือ Mars Time Coordinated ซึ่งจะเป็นการปรับเวลาให้สอดรับกับเวลาที่เกิดขั้นบนดาวอังคาร

ซึ่งใน 1 วันของดาวอังคารจะมีเวลายาวกว่าบนพื้นโลก 39 นาที 35 วินาที และเมื่อเข้าโหมดนี้ นอกจากการแสดงคำว่า MTC บนหน้าปัดแล้วจะมีสัญลักษณ์เพศชายที่เป็นตัวแทนของดาวอังคารปรากฏบนหน้าจอด้วย

OMEGA Speedmaster X-33 The Marstime

ตามด้วยระบบเข็มทิศไฟฟ้าที่สามารถหาขั้วโลกเหนือของโลกและดาวอังคารได้ ส่วนระบบที่เหลือก็เป็นแบบเดียวกับกลไกชุดเดิมที่อยู่ใน X-33 Skywalker รุ่นแรก เช่น การจับเวลา การตั้งปลุก การนับถอยหลังการทำภารกิจ หรือ MET-Mission Elapsed Time การแสดงเวลา UTC และฟังก์ชั่น PET หรือ Phase Elapsed Time