การกลับมาของตัวเรือนขนาด 44 มิลลิเมตรกับคอลเล็กชั่น Chronomat โดยจะใช้ชื่อในการทำตลาดว่า Super Chronomat และมีขายทั้งกลไกจับเวลาอัตโนมัติ และ Four-Year Calendar ที่ปรับตั้งวันที่เพียงครั้งเดียวต่อ 4 ปี
Breitling Super Chronomat ขยายร่างกลับสู่ตัวเรือน 44 มม.
-
Breitling นำตัวเรือนขนาด 44 มิลลิเมตรกลับมาสู่ตลาดอีกครั้งในชื่อ Super Chronomat
-
มีจำหน่ายทั้งรุ่นกลไก Chronograph ในรหัส B01 และรุ่น Four-Year Calendar ที่ไม่ต้องปรับตั้งเวลาและวันที่ตลอด 4 ปี
-
ราคาจำหน่ายในเมืองไทยอยู่ที่ 238,000-782,000 บาท
เรียกว่ามีอะไรให้งงเล็กน้อยสำหรับนาฬิกาในคอลเล็กชั่น Chronomat เพราะหลังจากที่เปิดตัวรุ่นใหม่เมื่อ 2 ปีที่แล้วพร้อมกับลดขนาดตัวเรือนจาก 44 มิลลิเมตรในรุ่นเดิมมาเป็น 42 มิลลิเมตรแล้ว จนหลายคนคิดว่าน่าจะเลิกผลิตไซส์ 44 มิลลิเมตรไปเรียบร้อยแล้ว
แต่สุดท้ายทาง ไบร์ทลิ่ง ก็ปัดฝุ่นนำกลับมาใหม่ และวางขายในชื่อ Super Chronomat มีจะมีการประเดิมตลาดระลอกแรกด้วยหัน 3 สี พร้อมกลไกใหม่ในรหัส B01
Chronomat มีจุดกำเนิดมาจากการได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิการุ่น Fercce Tricolori ที่ ไบร์ทลิ่ง สร้างขึ้นให้กับนักบินของฝูงบินผาดโผนในกองทัพอากาศอิตาลีเมื่อปี 1983 สำหรับครั้งนี้ไซส์ 44 มิลลิเมตรกลับมาด้วยมีคำว่า Super นำหน้าอยู่ในชื่อ Chronomat
ในรุ่นใหม่นี้จะมีจำหน่ายด้วยกัน 2 กลไกคือ รุ่น Chronograph แบบจับเวลาที่มาพร้อมกับหน้าปัด 3 วง โดยมาพร้อมกับตัวเรือนที่ผลิตจากสแตนเลสสตีล และโรสโกลด์ โดยใช้อินเสิร์ตเซรามิกที่มีสีสันสอดคล้องกับหน้าปัดวางอยู่บนขอบตัวเรือนสำหรับเป็นสเกลเพื่อใช้ในการจับเวลา ซึ่งในรุ่นสตีลจะมีจำหน่ายด้วยกัน 2 สีหน้าปัดคือ ดำและน้ำเงิน ส่วนรุ่นตัวเรือนโรสโกลด์จะมากับหน้าปัดสีน้ำตาล โดยทุกรุ่นจะมากับฝาหลังแบบใสที่สามารถมองเห็นกลไกได้ และทั้งหมดมีให้เลือกทั้งสายโลหะ และสายยาง ซึ่งทั้ง 2 วัสดุจะมากับรูปทรงของลายสายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเรียกว่า Rouleaux ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแผงของกระสุนสำหรับปืนกล
นอกจากนั้นอีกรูปแบบของสายจะเรียกว่า UTC Module มีขายในรุ่นสายโลหะ ซึ่งจะมีหน้าปัดขนาดเล็กประมาณ 26.1 มิลลิเมตรอยู่บนข้อแรกที่ติดอยู่บนตัวเรือนพร้อมกับบรรจุกลไกควอตซ์ Breitling Calibre 61 เพื่อใช้ในการบอกเวลาที่ 2 ซึ่งแบตเตอรี่ของกลไกควอตซ์จะอยู่ได้นานถึง 5 ปี หรือ 60 เดือน
ส่วนกลไกที่อยู่บนตัวเรือนนั้นจะเป็นรหัส ไบร์ทลิ่ง Manufacture Calibre B01 เป็นกลไกอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่นจับเวลา 3 วง ที่มีกำลังสำรองอยู่ที่ 70 ชั่วโมง และโรเตอร์สามารถหมุนขึ้นลานได้ 2 ทิศทาง เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง
อีกรุ่นที่จะมีการผลิตขายคือ Super Chronomat Four-Year Calendar มีขายบนตัวเรือนแบบทูโทน ที่ผสมผสานระหว่างสตีลและโรสโกลด์ 18k โดยตัวกลไกในรุ่นนี้จะเป็น Breitling B19 ที่ปรับปรุงและพัฒนามาจาก ETA2892-A2 โดยจะมีการเพิ่มหน้าจอย่อยสำหรับแสดง Moonphase แสดงการจับเวลาในระดับ ¼ วินาที และวัน-วันที่ รวมถึงเดือนด้วย โดยนาฬิการุ่นนี้มีความเที่ยงตรงชนิดที่ต้องการการปรับตั้งเวลาและวันที่เพียง 4 ปี หรือ 1,461 วันต่อครั้งเท่านั้น
เปิดตัวและเริ่มทำตลาดแล้ว โดยในเมืองไทยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 283,000 บาทในรุ่นสายยางตัวเรือนสตีล ไปจนถึงรุ่นสูงสุด ตัวเรือน 18k Rose Gold กับราคา 782,000 บาท ส่วนรุ่น Four-Year Calendar มีราคาอยู่ที่ 488,000 บาทสำหรับรุ่นสายยาง และ 577,000 บาทสำหรับรุ่นสายโลหะ
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/