หลากเรื่องน่ารู้ของ Audemars Piguet Royal Oak “Jumbo” Extra-thin

0

ภายใต้ตัวเรือนที่บางเฉียบระดับ 8.1 มิลลิเมตรของ Audemars Piguet Royal Oak ‘Jumbo’ Extra-thin ที่เพิ่งเปิดตัวออกมา มีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งเชื่อว่าแฟนๆ ของ Audemars Piguet ควรทราบ 

- Advertisement -

Audemars Piquet Royal Oak "Jumbo" Extra-Thin

หลากเรื่องน่ารู้ของ Audemars Piguet Royal Oak “Jumbo” Extra-thin

2002 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนาฬิกาอย่าง Royal Oak ของ Audemars Piguet และมีการเปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดมากมายในช่วงพิเศษนี้ โดยเรือนหนึ่งที่น่าสนใจและถูกจับตามองคือ Audemars Piguet Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ที่มาพร้อมกับคามเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และนี่คือ เรื่องน่าสนใจจากนาฬิกาเรือนนี้ที่เรารวบรวมเอาไว้ให้อ่านกัน

1. ความสวยงามของหน้าปัด Bleu Nuit

ในรุ่นตัวเรือนและสายที่ผลิตจากสแตนเลสสตีลมีหน้าปัดสีน้ำเงิน ซึ่งหน้าปัดสี Bleu Nuit, Nuage 50 ที่อยู่ในรุ่นตัวเรือนแตนเลสสตีลนั้น ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Stern Frères (สเติร์น เฟรเรส) ผู้ผลิตหน้าปัดที่มีชื่อเสียงจากเมืองเจนีวา โดยเฉดสีน้ำเงินนั้นเกิดเทคนิค Galvanic bath (กัลวานิค บาธ) ที่ต้องให้ความสำคัญกับส่วนผสมของน้ำยา รวมถึงระยะเวลาและอุณหภูมิที่พอดี หากช่างนำหน้าปัดออกจากน้ำยาเร็วเกินไปเฉดจะเป็นสีม่วง และหากช้าเกินไปก็จะเป็นสีดำ

หลังจากนั้นจะเคลือบด้วยสารที่ผสมกับสีดำเล็กน้อย (สี n° 50) โดยคำว่า “Nuage” มากจากเอฟเฟกต์คล้ายเมฆของสีดำที่หยดลงไปในสารเคลือบ ในปัจจุบัน สี Bleu Nuit, Nuage 50 ถูกผลิตโดยการเคลือบแบบ PVD (Physical Vapor Deposition) เพื่อให้ได้สีที่เป็นเนื้อเดียวกันทั้งคอลเลกชั่น

2. สุด Exclusive สำหรับรุ่นแพลตินัม 950

รุ่นแพลตินัม 950 ที่มาพร้อมความเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะเรือนเวลาโมเดลนี้จะสงวนไว้วางจำหน่ายเฉพาะที่เอพี เฮ้าส์ (AP House) เท่านั้น ด้วยความสง่างามของตัวเรือนและสายนาฬิกาแพลตินัม 950 ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยมือ พิเศษยิ่งขึ้นด้วยหน้าปัดสีเขียวสโมคกรีนที่มีการไล่เฉดสีแบบซันเบิร์สต์ (Sunburst) ซึ่งโทนสีของหน้าปัดและตัวเรือนแบบนี้ถูกนำเสนอไปเมื่อปีที่แล้ว และได้รับรางวัลนาฬิกาไอคอนิค จากงานกรังด์ ปรีซ์ ดอร์โลเฌรี (Grand Prix d’Horlogerie) ที่เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 ที่ผ่านมา เฉดสีเขียวที่สดใสนี้เกิดจากการเพิ่มหยดสีเขียวลงในสารเคลือบหน้าปัด เอฟเฟกต์สโมคบริเวณขอบหน้าปัดยังช่วยขับเน้นความโดดเด่นของสีเขียว พร้อมมอบมิติให้กับหน้าปัดนาฬิกา

นาฬิกา Royal Oak ที่ผลิตจากแพลตินัมถูกเปิดตัวครั้งแรกในช่วงปี 1980 หลังจากเปิดตัวเรือนเวลาที่ผลิตจากเยลโล่วโกลด์และไวท์โกลด์ โดยนาฬิกา Royal Oak “Jumbo” รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นเรือนแรกที่รังสรรค์ด้วยแพลตินัมเปิดตัวในปี 1992 เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 20 ปี พร้อมทั้งการก่อตั้งมูลนิธิรอยัล โอ๊ค (Royal Oak Foundation) พร้อมเปิดตัวนาฬิการุ่น Royal Oak Foundation ขนาดหน้าปัด 39 มิลลิเมตร (โมเดล 14811) ที่เป็นนาฬิกาสำหรับประมูลเพื่อสนับสนุนมูลนิธิ นาฬิการุ่นนี้มาพร้อมหน้าปัดสลักรูปต้นโอ๊คทองคำที่รังสรรค์ขึ้นผ่านการใช้เครื่องแกะสลัก สะท้อนถึงเป้าหมายของมูลนิธิที่ต้องการอนุรักษ์ป่าไม้ทั่วโลก

3. กลไกใหม่ที่ทั้งรวมความเด่นในด้านเทคนิคการผลิตของโลกแห่งการผลิตนาฬิกาชั้นสูง

นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1972 ที่นาฬิการุ่น Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ได้นำเสนอกลไก Self-Winding (เซลฟ์ไวนด์ดิ้ง) ที่บอกเวลาชั่วโมง นาทีและแสดงวันที่ กลไกใหม่ล่าสุดอย่างคาลิเบอร์ 7121 ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับนาฬิการุ่น Jumbo โมเดล 16202 ซึ่งจะมาทดแทนคาลิเบอร์ 2121 หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นกลไก Self-Winding พร้อมโรเตอร์กลางและการแสดงวันที่ที่เปิดตัวครั้งแรกในนาฬิการุ่น Royal Oak ปี 1972 และนับเป็นกลไกที่บางที่สุดในขณะนั้น (3.05 มิลลิเมตร) ซึ่งสิ้นสุดการใช้งานไปเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา

คาลิเบอร์ 7121 มีความหนาเพียง 3.2 มิลลิเมตร ถูกพัฒนาและรังสรรค์ขึ้นโดยวิศวกรและช่างทำนาฬิกาของ Audemars Piquet เพื่อให้พอดีกับตัวเรือนนาฬิกา Jumbo ที่มีความหนา 8.1 มิลลิเมตร โดยไม่มีผลกระทบต่อความสวยงามและความหนาของตัวเรือน อีกทั้งลานนาฬิกายังเพิ่มระบบเซ็ตวันที้ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

หลังจากใช้เวลาพัฒนาถึง 5 ปี คาลิเบอร์ 7121 มาพร้อมพลังงานที่มากกว่ารุ่นก่อนด้วยโครงสร้างใหม่ของกลไก ด้วยกระปุกลานที่ใหญ่ขึ้นจึงให้พลังงานที่มากกว่า และทำให้บอกเวลาได้อย่างแม่นยำในเวลาที่ยาวนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อม Oscillating Weight หรือโรเตอร์ขึ้นลานที่ดีไซน์ร่วมสมัยติดตั้งอยู่บน Ball bearings ที่ใช้รีเวิร์สเซอร์ (Reverser)  สองตัวที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถไขลานแบบสองทิศทาง ชิ้นส่วนสำหรับต้านการเคลื่อนไหวถูกติดตั้งลงกับบาลานซ์วีล (Balance wheel) เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้คาลิเบอร์ 7121 ยังมาพร้อมกับกลไกเซตวันที่ซึ่งใช้พลังงานต่ำและมีความบางพิเศษที่ได้รับการจดสิทธิบัตร เพื่อสืบทอดการสรรค์นาฬิกาแบบดั้งเดิม คาลิเบอร์ 7121 ยังคงใช้การตกแต่งแบบนาฬิกาชั้นสูง (Haute Horlogerie) ทั้งลายวง Côtes de Genève (โกตส์ เดอ เฌอแนฟ) เทคนิค Traits tires (เทรตส์ ทิเรส์)  และเทคนิค Circular Graining (เซอร์คิวลาร์ เกรนิง) โดยสามารถเห็นดีเทลทั้งหมดได้ผ่านฝาหลังแซฟไฟร์

4. Oscillating weight พิเศษสำหรับวาระครบรอบ 50 ปีนาฬิกา Royal Oak

นาฬิกา Royal Oak “Jumbo” Extra-thin รุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อม Oscillating weight พิเศษสำหรับวาระครบรอบ 50 ปีคอลเลกชั่น Royal Oak ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยทองคำ 22 กะรัต พร้อมสัญลักษณ์ “50-years” และสลักโลโก้ Audemars Piguet ซึ่งโทนสีของ Oscillating weight จะแมตช์กับสีของตัวเรือนแต่ละโมเดลซึ่งปกติจะใช้กับนาฬิกาที่มีกลไกซับซ้อนเท่านั้น ทั้งยังตกแต่งด้วยรายละเอียดของการขัดลายซาตินและการขัดเหลี่ยมมุมเช่นเดียวกับรายละเอียดของตัวเรือนด้วย

Oscillating weight ที่รังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะชิ้นนี้ยังออกแบบให้ใช้กับนาฬิกา Royal Oak รุ่นเฉลิมฉลอง
50 ปี ทั้งหมด ตลอดปี 2022 ด้วยเช่นกัน

5. ความสวยงามของลวดลายบนหน้าปัด

ลวดลาย Petite Tapisserie (เปอตีต์ ทาพิสเซอรี) เกิดจากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนโดยอาศัยทักษะความรู้ที่ในปัจจุบันไม่มีการสอนในโรงเรียนสอนช่างทำนาฬิกาอีกต่อไปแล้ว โดยวิธีการรังสรรค์เริ่มจากการสร้างพีระมิดยอดตัดฐานสี่เหลี่ยมขนาดเล็กจำนวนหลายร้อยชิ้นด้วยการสลักลงบนแผ่นโลหะสำหรับหน้าปัดนาฬิกาผ่านเครื่องกิโยเช่แบบดั้งเดิมที่จะทำการสร้างรอยลึกของรูปทรงพีระมิดซ้ำๆ จนเกิดเป็นลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดหลายหมื่นชิ้น พร้อมด้านทั้ง 4 ที่กระทบกับแสง ราวกับเป็นช่องเล็กๆ ที่แบ่งสี่เหลี่ยมพีระมิดอย่างไร้รอยต่อ เกิดเป็นลวดลาย Tapisserie กระบวนการนี้นับว่าต้องใช้ความคล่องแคล่วและแม่นยำอย่างยิ่ง

ลวดลาย Petite Tapisserie ของนาฬิกา Roya Oak รุ่นดั้งเดิมถูกรังสรรค์ขึ้นครั้งแรกและผลิตโดย Stern Frères (สเติร์น เฟรเรส) ผู้ผลิตหน้าปัดจากเมืองเจนีวาซึ่งปิดกิจการไปในปี 2016 ในระหว่างนั้น หลังจากที่Audemars Piguet ได้มีการจัดซื้อเครื่องกิโยเช่แบบเก่ามา ทางแบรนด์ได้เริ่มพัฒนางานฝีมือและเทคนิคต่างๆขึ้นด้วยตนเอง โดยในปี 2010 หน้าปัด Petite Tapisserie แบบอินเฮาส์ชิ้นแรกได้ถูกผลิตจากเวิร์กช็อปของAudemars Piguet ที่เป็นที่เฉพาะสำหรับการผลิตหน้าปัดนี้ และหน้าปัดดีไซน์กิโยเช่ของนาฬิการุ่น Jumbo ทุกเรือนก็ได้รับการผลิตขึ้นภายในเวิร์กช็อปแห่งนี้จวบจนปัจจุบัน

Audemars Piquet Royal Oak ‘Jumbo’ Ultra Thin