Cory Richards ชายผู้อยู่เบื้องหลัง Vacheron Constantin Overseas Everest

0

ก่อนที่จะเป็นนาฬิการุ่นพิเศษ Vacheron Constantin ได้พัฒนารุ่นต้นแบบขึ้นในปี 2019 เพื่อให้ Cory Richards สวมใส่ไปร่วมการออกเดินทางสำรวจหลังคาโลก และจากจุดนั้นได้นำมาสู่การพัฒนาเป็นเรือนจริง ซึ่ง Richards ถือเป็นนักผจญภัยที่มีส่วนในความงามของนาฬิกาเรือนนี้อย่างแท้จริง

Vacheron Constantin Overseas Everest
Vacheron Constantin Overseas Everest

Cory Richards ชายผู้อยู่เบื้องหลัง Vacheron Constantin Overseas Everest

- Advertisement -

Overseas นาฬิกาสำหรับผู้ชื่นชอบกีฬาและนักผจญภัยเปิดประตูออกสำรวจพรมแดนความงามใหม่ โดยมาในเวอร์ชั่นลิมิเต็ดเอดิชั่น 2 รุ่น คือ Overseas Chronograph “Everest” และ Overseas Dual Time “Everest” ผลิตในจำนวนจำกัดรุ่นละ 150 เรือน ผลงานทั้งสองรุ่นชูดีไซน์ที่โดดเด่นทรงพลัง โดยได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกาโปรโตไทป์ที่ Vacheron Constantin พัฒนาขึ้นในปี 2019 เพื่อให้ Cory Richards สวมใส่ไปร่วมการออกเดินทางสำรวจ “หลังคาโลก” ครั้งที่สาม

Vacheron Constantin Overseas Everest
Vacheron Constantin Overseas Everest
Vacheron Constantin Overseas Everest Vacheron Constantin Overseas Everest
Vacheron Constantin Overseas Everest Vacheron Constantin Overseas Everest
Vacheron Constantin Overseas Everest Vacheron Constantin Overseas Everest

รุ่นโครโนกราฟตัวเรือนขนาด 42.5 มม. และรุ่นดูออล ไทม์ ตัวเรือนขนาด 41 มม. ตัวเรือนผสมผสานความเบาและแข็งแกร่งของไทเทเนียมเข้ากับความมันวาวของสเตนเลสสตีล ดีไซน์สง่างามเน้น คอนทราสต์รับกับสายรัดข้อมือรับเบอร์ หรือสายผ้า Cordura® ซึ่งรองด้วยหนังลูกวัวนูบัก สามารถถอดสลับสับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ รุ่นโครโนกราฟทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 5200/2

ส่วนรุ่นดูอัลไทม์ ทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 5110 DT/2 กลไกทั้งสองนี้เคลือบด้วยทรีทเมนต์ NAC เป็นสีเทาแอนทราไซต์ทำให้ลุคดูร่วมสมัย และที่เป็นซิกเนเจอร์ก็คือโรเตอร์พิงก์โกลด์ 22k ตกแต่งด้วยการสลักภาพเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากภาพถ่ายของ Cory Richards

แน่นอนว่ากว่าที่จะมาเป็นนาฬิกาเรือนจริง ทุกรายละเอียดจะต้องถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากมุมมองและแนวคิดที่ Cory Richards ได้มอบให้ และนี่คือบทสัมภาษณ์ของเขาที่มีต่อนาฬิกาทั้ง 2 รุ่นพิเศษนี้

Q : คุณรู้สึกอย่างไรกับนาฬิกาทั้ง 2 รุ่นนี้

A : “สำหรับผม นาฬิกาทั้ง 2 รุ่นเป็นการนำเสนอความประณีตและความพยายามที่ต้องใช้เวลานานนับไม่ถ้วน ทั้งยังสื่อให้เห็นถึงการลดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นเพื่อแสวงหาสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญรวมทั้งความหมายของทักษะฝีมือ… อีกทั้งความมุมานะทั้งหมดของผมยังสะท้อนอยู่ในการ เดินทางครั้งนี้… ไม่ว่าจะในศิลปะและภาพถ่าย หรือการออกสำรวจ สำหรับผมแล้ว การนำเสนองานคราฟต์ใดๆ ก็ตามจะเป็นที่เข้าใจได้ดีที่สุด

หากเราปลดเปลื้องหรือลดทอนบางสิ่งออกไปในขณะที่มุ่งไปสู่ความสมบูรณ์แบบ ผมเห็นสิ่งเหล่านี้ในรายละเอียดต่างๆ ที่ถูกผนวกเข้าไปรวมทั้งเหตุผลว่าทำ ไมจึงเป็นเช่นนั้นด้วย มันทำให้ผมนึกถึงหยาดเหงื่อทั้งความทุกข์และความสุขที่นำไปสู่ความยิ่งใหญ่ และเมื่อมองกลไก

ผมเห็นถึงความทุ่มเท ซึ่งกินเวลามากมายเกินกว่าจะนับได้ในการทำให้เป้าหมายเป็นจริงขึ้นมา ผมมองเห็นเวลาที่ทุ่มลงไป ผมเห็นชีวิตตัวเองสะท้อนกลับมายังตัวผมผ่านนาทีและวินาทีที่ผ่านไป และมันทำให้ผมคิดว่ายังคงมีเส้นทางข้างหน้ารออยู่ และการเดินทางมากมายไม่รู้จบที่กำลังจะเกิดขึ้น”

Q : คุณมีมุมมองต่อการถ่ายภาพครั้งนี้อย่างไร

A : “ผมอยากให้การถ่ายภาพสะท้อนเวลามากมายที่ใช้ไปกับการออกเดินทางค้นหาในชั่วชีวิตของเรา ค่ำคืนที่ผ่านไปท่ามกลางความมืดลอยอยู่เหนือพื้นโลกกว้างใหญ่เบื้องล่าง เมื่อเรายอมทิ้งชีวิตที่สะดวกสบายไว้เบื้องหลังและเต็มใจยอมแลกมันกับความยากลำบาก เราจึงได้ก้าวเข้าสู่การพัฒนาตัวเราและได้ค้นพบว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง

ในยามอยู่บนเขาหรือในมหาสมุทร เวลาจะยืดขยายนาทีให้ความรู้สึกยาวนานเป็นชั่วโมง และวันให้ความรู้สึกเหมือนนาที บ่อยครั้งความสำเร็จและความล้มเหลวขึ้นอยู่กับการที่เราใช้เวลาให้คุ้มค่าอย่างไร เมื่อเราลืมตาตื่น เราเคลื่อนไหวเร็วแค่ไหน เราหลับไปนานเท่าไหร่… ทั้งหมดเป็นเป็นเรื่องของเวลา ความเร็วเท่ากับความปลอดภัย แต่ก็สามารถหมายถึงความเป็นความตายได้เท่าๆ กัน เราจะเอาชนะแสงแดดก่อนน้ำแข็งละลายและ หินจะล่วงหล่นได้หรือเปล่า เราจะข้ามเนินก่อนหิมะจะอ่อนยวบเพราะความร้อนยามกลางวันจนก้าวข้ามไปไม่ได้หรือไม่ เราจะฝ่าพายุ หรือจะยอมล่าถอย ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของเวลา ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวของวันที่ผ่านไปในสภาพแวดล้อมหนึ่ง

ซึ่งเวลาถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า และด้วยการให้ความสำคัญกับรายละเอียด และประสิทธิภาพ โดยตระหนักถึงเวลาในทุกนาที มันเป็นเรื่องของเป้า หมายและความตั้งใจในการสังเกตและเคารพปัจจัยต่างๆ ที่นำ ไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งมีความสำคัญไปจนถึงวินาทีสุดท้าย”

Q : คุณรู้สึกอย่างไรเวลาสวมใส่ Overseas Limited Edition “Everest”

A : “ตอนที่สวม Overseas “Everest” มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งต่างๆ ในวัยเด็ก และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผมมาอยู่จุดนี้ในเวลานี้… บททดสอบ ต่างๆ การเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ความล้มเหลวที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสำเร็จ ผมรู้สึกซาบซึ้ง

เมื่อหยุดและขบคิดถึงสิ่งที่นาฬิกาเรือนนี้บอกกับผม… ทั้งเรื่องของชีวิตและความหมายที่มันมีต่อคนที่ได้สวมมัน การได้แบ่งปันเรื่องราวของตัวผมซึ่งบอกเล่าผ่านสิ่งประดิษฐ์ที่ประณีตงดงามเช่นนี้นับเป็นเกียรติในชีวิตเกินกว่าจะหาคำมาบรรยาย

ผม ว่าความรู้สึกของผมคือความขอบคุณ ขอบคุณสำหรับเวลาที่ใช้ไปกับผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจและมิตรสหาย ขอบคุณสถานที่ที่ได้พบพานและความพยายามที่ทุ่มลงไป ขอบคุณทุกคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาในเรือนเวลาที่ผ่าน การนำเสนอออกมาอย่างชัดเจน งดงาม และรอบคอบ ผมรักนาฬิกามาตลอด แต่ครั้งนี้มันยิ่งกว่านั้น”

Q : อยากให้ช่วยเปรียบเทียบความเหมือนระหว่างนาฬิกา Overseas “Everest” และการร่วมงานเพื่อนำเสนอคอนเซ็ปต์ One of not many กับตัวตนของคุณ

A : “จริงๆ มันยากที่ยอมรับว่าตัวผมเองเป็น “หนึ่งในไม่กี่คน” เพราะผมเชื่อว่าเราทุกคนต่างก็มีความน่าทึ่งในแบบฉบับของเราเอง แต่ผมก็ทำงานเพื่อนำเสนอทุกๆ

สิ่งที่ตัวผมได้ทุ่มเทลงไปและเส้นทางที่เลือกในความหมายของคอนเซ็ปต์ Overseas “Everest” คือ ตัวแทนของ one of not many และด้วยจำนวนการผลิตที่จำกัดยิ่งตอกย้ำทุกสิ่งที่นำเสนอในนาฬิการุ่นนี้ ตัวเราเองก็เช่นเดียว กับนาฬิกาที่เป็นมากกว่าผลรวมของชิ้นส่วนต่างๆ เราแต่ละคนถูกสร้างขึ้นจากฟันเฟืองมากมาย กลายเป็นกลไกของชีวิตที่เราใช้ และการแสดงออกภายนอกก็ล้วนไม่เหมือนใคร

ผมมองว่าการร่วมงานในครั้งนี้เป็นการนำเสนอแนวคิดนั้นอย่างต่อเนื่อง กลไกในตัวผมสะท้อนอยู่ในทักษะฝีมือที่ผมมองเห็นอยู่ทุกวัน นำ พาผมออกไปค้นหาตัวเอง ศิลปะ และโลกของเรา และเพราะอย่างนี้ผมถึงได้รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณจริงๆ”