นวัตกรรม งานศิลป์ และงานฝีมือ สิ่งที่ซ่อนอยู่ใน Ulysse Nardin Freak S [Enamel]

0

Freak S ถือเป็นเรือนเวลาที่โดดเด่นและมีความล้ำสมัยในด้านแนวคิดที่ฉีกกรอบการสร้างสรรค์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงแบบเดิมๆ ได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่ากว่าที่จะมาเป็นเรือนจริงได้ Ulysse Nardin ต้องทำงานอย่างหนักในการสร้างสรรค์ คิดค้น และมองหาจุดบรรจบในการทำงานเพื่อความลงตัวในด้านต่างๆ โดยที่ยังมีความงดงามตามแบบฉบับของการผลิตนาฬิการะดับสูงเอาไว้

Ulysse Nardin Freak S [Enamel]
Ulysse Nardin Freak S [Enamel]

นวัตกรรม งานศิลป์ และงานฝีมือ สิ่งที่ซ่อนอยู่ใน Ulysse Nardin Freak S [Enamel]

- Advertisement -

Ulysse Nardin Freak S [Enamel] ไม่ได้เป็นแค่เครื่องบอกเวลาบนข้อมือ แต่กว่าที่จะเป็นเรือนจริงได้ นาฬิกาเรือนนี้ผ่านการคิดค้นและพัฒนา ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการผสมผสานทั้งเรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติเดิมในโลกแห่งเรือนเวลาให้สามารถเข้ากับนวัตกรรม และความล้ำสมัยแห่งเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ได้อย่างลงตัว

Freak S คือ ผลงานชิ้นเอก เป็นนาฬิกากลไกที่แสดงเวลาเพียงอย่างเดียวและเป็นนาฬิกาอัตโนมัติเรือนแรกของโลกที่มาพร้อม double oscillator จึงทำงานแตกต่างจากนาฬิกาเรือนอื่นทั้งในด้านกลไก แนวคิด และดีไซน์

Ulysse Nardin Freak S [Enamel] Ulysse Nardin Freak S [Enamel]

สิ่งที่ทำให้ Freak S โดดเด่น คือ สถาปัตยกรรมที่ปฏิวัติวงการของกลไก Manufacture calibre UN-251 ซึ่งถูกออกแบบใน 6 มิติ มีเฟืองแยกกันชัดเจนเพื่อรองรับบาลานซ์วีลแบบซิลิคอนคู่ที่เอียง 20 องศา พร้อมระบบเฟืองแนวตั้ง (vertical differential) อีกทั้งยังเป็นกลไกแรกที่ใช้เฟือง differential แบบตลับลูกปืน (ball bearings) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญไมโครเมคานิกส์ที่ผลิตชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์ไฮเทคอย่างหัวใจเทียม จึงมีความแม่นยำและประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่เหนือชั้น

ลูกปืนเซรามิก 17 ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของระบบพลังงาน ลดแรงเสียดทาน และเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้เป็นหนึ่งในกลไกที่มีประสิทธิภาพ พร้อมระบบลูกปืน 2 ระดับที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับสมรรถนะและความน่าเชื่อถือ ระบบขึ้นลานอัตโนมัติ Grinder® ที่จดสิทธิบัตรขับเคลื่อนนาฬิกาด้วยประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ตอบโจทย์การทำงานของกลไกซับซ้อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

กลไกประกอบด้วย 373 ชิ้นส่วนและอัญมณี 33 เม็ด ประกอบโดยช่างฝีมือคนเดียว กลไกซับซ้อนนี้โดดเด่นด้วยออสซิลเลเตอร์เอียงขนาดใหญ่ 2 ชุดพร้อมบาลานซ์วีลแบบซิลิคอน และชุดเอสเคปเมนต์เคลือบด้วย DIAMonSIL เทคโนโลยีเฉพาะของ Ulysse Nardin ที่ช่วยเพิ่มทั้งความทนทานและความแม่นยำ

ชิ้นส่วนกว่า 95% ของนาฬิกาหมุนเคลื่อนที่ รวมทั้งสะพานนาทีแบบทองคำที่ติดตั้งออสซิลเลเตอร์ แผ่นแสดงชั่วโมง ขอบหน้าปัดสำหรับตั้งเวลา และฝาหลังสำหรับขึ้นลาน มีการเคลื่อนไหวที่สอดประสานอย่างกลมกลืน สถาปัตยกรรมโดดเด่นทรง 3 มิติ พร้อมเอกลักษณ์เฉพาะแบบ Freak ถ่ายทอดความล้ำสมัยและศิลปะชั้นสูงแห่งเครื่องบอกเวลาชัดเจนทุกมิติ

Ulysse Nardin Freak S [Enamel] Ulysse Nardin Freak S [Enamel] Ulysse Nardin Freak S [Enamel]

ภายในกลไกชุดนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนซิลิคอนทั้งหมด 10 ชิ้น รวมทั้งบาลานซ์วีลและสปริงบาลานซ์ พร้อมเอสเคปเมนท์ DIAMonSIL ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างซิลิคอนกับการเคลือบเพชรที่ Ulysse Nardin จดสิทธิบัตรไว้ในปี 2007 ความแข็งแกร่งจากชั้นเพชรที่เคลือบบนเอสเคปเมนท์นี้ช่วยทำให้ทนทานต่อแรงกระแทกหรือเสียดสีได้มากกว่า 150 ล้านครั้งต่อปี

วัสดุขั้นสูงนี้ยังช่วยเพิ่มความต้านทานแรงเสียดทานและแรงกระแทก ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อเอสเคปเมนท์ของ Freak S ทำงานด้วยความถี่ 18,000 ครั้งต่อชั่วโมง โดยผลิตที่ Sigatec ห้องปฏิบัติการซิลิคอนของแบรนด์ ณ เมือง Sion ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ชิ้นส่วนเหล่านี้สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมเฉพาะตัวกว่า 20 รายการ

หัวใจของ Freak S คือ เฟือง Differential แนวตั้งที่เล็กที่สุดในโลก ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในวงการนาฬิกา ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่ออกแบบอย่างแม่นยำ 47 ชิ้น รวมถึงลูกปืนเซรามิก 6 ลูก ผลิตด้วยความละเอียดระดับไมครอน หน้าที่ของชิ้นส่วนนี้คือการคำนวณค่าเฉลี่ยของจังหวะการสั่นสะเทือนของออสซิลเลเตอร์เอียงทั้งสอง เพื่อมอบความแม่นยำและความเสถียร เฟือง Differential ถูกคิดค้นครั้งแรกในปี 1827

โดยช่างทำนาฬิกา Onésiphore Pecqueur เพื่อควบคุมยานพาหนะไอน้ำในยุคแรก และไม่ได้มีไว้สำหรับใช้ในนาฬิกา แต่เกือบ 2 ศตวรรษต่อมา Ulysse Nardin ได้ตีความแนวคิดนี้ใหม่ด้วยการนำเฟือง Differential ที่ใช้ลูกปืน Ball Bearing ทั้งหมดมาใช้ในกลไกนาฬิกา ถือเป็นความสำเร็จอันไร้ที่ติในวงการนาฬิกา วิศวกรรมขนาดเล็กนี้ พัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญไมโครเมคานิกส์ระดับแนวหน้า ที่มีส่วนร่วมในการออกแบบหัวใจเทียมและนวัตกรรมอื่น ๆ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนาฬิกากลไกสมัยใหม่

การใช้ซิลิคอนในวงการนาฬิกาถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดย Ulysse Nardin ในปี 2001 กับรุ่นระดับตำนานอย่าง Freak นับเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมาก่อนที่แบรนด์อื่นจะเริ่มนำวัสดุสุดล้ำนี้มาใช้ แม้เทคโนโลยีซิลิคอนจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ Freak ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำแห่งการปฏิวัติครั้งสำคัญของวงการ ซิลิคอนเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบายืดหยุ่นสูงลดแรงเสียดทาน และทนทานต่อสนามแม่เหล็กได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีข้อได้เปรียบเหนือกว่าวัสดุทั่วไปทั้งในด้านความแม่นยำ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือในระยะยาว

การส่งพลังงานสู่ออสซิลเลเตอร์สองชุดเป็นความท้าทายที่ Ulysse Nardin ได้คิดค้นขึ้น และมีการใช้ระบบ Grinder® ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 ผ่านนาฬิกา Freak InnoVision 2 ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการพลังงานสูงของ

กลไกออสซิลเลเตอร์คู่โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ ผลลัพธ์คือ มีกำลังสำรองนานถึง 72 ชั่วโมง จากระบบที่แปลงค่าการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของข้อมือให้เป็นพลังงาน

ระบบ Grinder® สะท้อนแนวคิดเทคโนโลยียานยนต์ไฮบริด ด้วยการเก็บพลังงานจลน์จากการเคลื่อนไหว เพื่อรักษาประสิทธิภาพสูงสุดของ Freak S โดยใช้การเคลื่อนไหวความถี่ต่ำที่ 2.5 เฮิรตซ์ ร่วมกับลูกปืนเซรามิก เพื่อลดแรงเสียดทาน ทำให้การส่งผ่านพลังงานเป็นไปอย่างราบรื่นและคงที่

Ulysse Nardin Freak S [Enamel] Ulysse Nardin Freak S Ulysse Nardin Freak S Ulysse Nardin Freak S [Enamel]

ในบรรดาศิลปะชั้นสูงที่ยังคงได้รับการสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน การลงยา (Enamel) นับเป็นหนึ่งในงานฝีมืออันโดดเด่นของ Ulysse Nardin ศิลปะโบราณแขนงนี้มีรากฐานย้อนกลับไปนับพันปี ตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณสู่ราชวงศ์จีน ก่อนจะผสานเข้ากับโลกของการประดิษฐ์นาฬิกาในศตวรรษที่ 17 เสน่ห์ของการลงยาอยู่ที่เฉดสีสดใสและทนทานเป็นพิเศษ สีสันที่ได้มีความคมชัดไม่ซีดจางตามกาลเวลา แตกต่างอย่างชัดเจนจากการตกแต่งพื้นผิวแบบทั่วไป ทำให้การลงยากลายเป็นศิลปะที่สะท้อนถึงความประณีต

Freak S [Enamel] มาพร้อมดิสก์บอกชั่วโมงหมุนได้ ลงยาด้วยสีฟ้าเทอร์ควอยซ์และแดงทับทิม ผลิตที่ Donzé Cadrans เวิร์กช็อปลงยาซึ่งตั้งอยู่ใกล้โรงงาน Ulysse Nardin ใน Le Locle ก่อตั้งในปี 1972 โดย Francis Donzé ช่างลงยามือหนึ่ง และเริ่มทำงานร่วมกับ Ulysse Nardin ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และถูกซื้อกิจการในปี 2011

Donzé Cadrans คือ มาตรฐานแห่งวงการที่มีความเชี่ยวชาญเทคนิคลงยาแบบดั้งเดิมอย่าง Grand Feu, Cloisonné, Champlevé และ Guilloché-Flinqué แต่ Freak S มาพร้อมความท้าทายใหม่จากชิ้นส่วนของกลไกที่แตกต่างออกไป ดิสก์บอกชั่วโมงหมุนได้ที่ทำด้วยมือด้วยเทคนิค Guilloché-Flinqué ไม่ใช่แค่องค์ประกอบตกแต่ง แต่เป็นชิ้นส่วนกลไกที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ผลิตด้วยประณีตและยึดด้วยสกรูหลายจุด ดังนั้น ทุกขั้นตอนต้องคำนึงถึงการทำงานของกลไก ความสมดุล และความแข็งแกร่งของโครงสร้าง โดยไม่ลดทอนความงดงามในทุกมุมมอง

เพื่อตอบโจทย์นี้ Ulysse Nardin เลือกใช้ไวท์โกลด์ 18K (ผสมแพลเลเดียม 130 เงิน 120 และทองคำ 750) เพื่อความทนทานต่อความร้อนสูง ส่วนผสมนี้ทำให้ดิสก์บอกชั่วโมงทนความร้อนจากการเผาซ้ำๆ หลายครั้งโดยไม่บิดงอ ก่อนลงยา ดิสก์จะถูกปั๊มลวดลายที่มีเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มลูกเล่นที่สามารถมองเห็นได้ของคารูเซลหมุนและออสซิลเลเตอร์ซิลิคอนคู่

กระบวนการลงยาถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ วัตถุดิบแข็งถูกล้าง ก่อถูกบดด้วยครกและสากแบบดั้งเดิมจนกลายเป็นผงละเอียด จากนั้นผงสีจะถูกผสมอย่างพิถีพิถัน โดยอาศัยความรู้ทางด้านปฏิกิริยาเคมี และทฤษฎีสีเติมน้ำให้เป็นเนื้อสีที่ทาบนจาน และเผาที่อุณหภูมิประมาณ 800°C

ทาซ้ำ 3-4 ครั้ง เพื่อเสริมโทนสี เนื้อสัมผัส และความเข้มข้นของสีที่เคลือบ หลังเผาครบตามขั้นตอน ผิวลงยาจะถูกขัดมืออย่างประณีตนานกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อเผยความสีสันที่เปล่งประกาย

ทุกขั้นตอนของการลงยาล้วนมีความเสี่ยง เช่น การเกิดฟอง การแตกร้าวหรือการเผาที่ไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด งานฝีมือนี้จึงไร้ทางลัด ต้องใช้ความอดทน ความแม่นยำ และเวลา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การลงยาจึงถือเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ท้าทายที่สุดในวงการนาฬิกาชั้นสูง

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์คือพื้นผิวลงยาที่งดงามและทนทาน ด้วยเหตุนี้ Freak S จึงมิใช่เพียงความสำเร็จทางเทคนิค แต่คือผลงานที่ผสานวิศวกรรมล้ำสมัยกับศิลปะโบราณ สร้างมาตรฐานใหม่ที่เหนือจินตนาการ