การกลับมาของนาฬิกาสุดหรูที่เคยโด่งดังในยุคทศวรรษที่ 1950 โดย Tudor เปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ Royal Collectionที่มีกลิ่นอายและสไตล์ถอดแบบมาจาก Rolex Datejust พร้อมตัวเรือนขนาด 28-41 มิลลิเมตร
Tudor Royal Collection เปิดตลาดครั้งใหม่ด้วยไซส์ 28-41 มม.
-
อีกทางเลือกที่เข้ามาเสริมทัพด้วยตัวเรือขนาด 28-41 มิลลิเมตร
-
กลไกมี 2 เวอร์ชันจาก ETA ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าปัด
-
ราคาอยู่ในช่วง 2,150-3,975 เหรียญสหรัฐฯ
Tudor เปิดตลาดระดับหรูครั้งใหม่ด้วยทางเลือกแห่งความสวยในสไตล์สุดตลาสสิคที่ได้รับดการแต่งเติมใหม่เพื่อให้ดูเข้ากับยุคใหม่ โดยมีการเปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่อย่าง Royal Collection ที่เคยโด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 1950 โดยทางเลือกของตัวเรือนจะมีตั้งแต่ไซส์ 28 ไล่ไปจนถึงสูงสุดคือ 41 มิลลิเมตร
สำหรับ Royal Collection นั้นถือเป็นการอัพเดทจากคอลเล็กชั่นที่เคยมีอยู่ในตลาดอยู่แล้วอย่าง Prince Date-Day หรือ OysterDate และจะเป็นนาฬิการุ่นหลักที่มีขายอยู่ในตลาดทั่วโลกรวมถึงในสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาขายตั้งแต่ปี 2013 แต่ทว่ามีไม่ครบทุกคอลเล็กชั่นเพราะ Tudor เน้นทำตลาดกลุ่มนี้ด้วยนาฬิกาสปอร์ต เช่น Black Bay หรือ Pelagos
ในคอลเล็กชั่นนี้จะมีทางเลือกทั้งสีและขนาดตัวเรือนที่หลากหลาย เช่น Tudor Royal 41 (28600 series) และ 38 มิลลิเมตร (28500) สำหรับลูกค้าผู้ชาย ส่วนลูกค้าผู้หญิงจะมีขนาด 34 มิลลิเมตร (28400) และ 28 มิลลิเมตร (28300) พร้อมกับรูปลักษณ์และหน้าตาที่บางคนให้ความเห็นว่าเป็นเวอร์ชัน Rolex Datejust สำหรับ Tudor
วัสดุที่ใช้ในการผลิตตัวเรือนมีทั้งแบบสตีล และแบบ 2 กษัตริย์ที่มากับทองคำ 18K โดยสีของหน้าปัดมีทั้งสีดำ สีน้ำเงิน สีเทา และขาวมุข หรือ Mother of Pearl สำหรับรุ่นของสุภาพสตรี เช่นเดียวกับเลย์เอาท์ในแง่ของการจัดวางช่อง Day / Date และการใช้หลักชั่วโมงที่เป็นตัวเลขโรมัน รวมถึงการฝังเพชร ที่มีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยของแต่ละเรือน
ตัวนาฬิกามีความสามารถในการกันน้ำ 100 เมตรเช่นเดียวกับ Roles Oyster พร้อมตัวเรือนและสายที่รวมเป็นชุดเดียวกันและขอบตัวเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีรูปทรงและรูปแบบที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกันดี ส่วนกลไกที่ติดตั้งนั้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรุ่น โดยเวอร์ชันสำหรับผู้ชาย (41 และ 38 มิลลิเมตร) จะใช้กลไก ETA 2824 และถ้าเป็นรุ่นสำหรับผู้หญิง (34 และ 28 มิลลิเมตร) จะเป็นรหัส 2671 แต่ทั้ง 2 กลไกเดินด้วยความถี่ 4 Hz หรือ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง และสำรองพลังงานได้ 38 ชั่วโมง
ราคาจะมีความแตกต่างกันออกไปแล้วแต่รุ่นและวัสดุ โดยรุ่นที่ใช้หน้าปัด 41 มิลลิเมตรจะมีราคาระหว่าง 2,325-3,350 เหรียญสหรัฐฯ รุ่น 38 มิลลิเมตรจะมีราคาระหว่าง 2,250-3,300 เหรียญสหรัฐฯ รุ่น 34 มิลลิเมตรจะมีราคาระหว่าง 2,200-3,975 เหรียญสหรัฐฯ และรุ่น 28 มิลลิเมตรจะมีราคาระหว่าง 2,150-3,975 เหรียญสหรัฐฯ
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/