ถ้าเปรียบเทียบการนาฬิกาเป็นเหมือนกับรถยนต์ เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านน่าจะตกอยู่ในสภาวะตัดสินใจไม่ขาดระหว่างการเลือกรุ่นท็อปของรถยนต์ที่มีระดับตลาดรอง (กว่า) กับรุ่นพื้นฐานของรถยนต์ระดับตลาดที่สูงกว่า ซึ่งอยู่ในช่วงของราคาที่ใกล้เคียงกันยากเหลือเกิน ยกตัวอย่างนะครับ (ขอย้ำว่ายกตัวอย่าง) ถ้าในวงเงิน 1 ล้านบาทคุณสามารถซื้อ Honda Civic Type R ที่มากับความแรงและความเร้าใจในระดับเฉียด 300 แรงม้า กับรถบ้านแต่ระดับตลาดสูงกว่าอย่าง Honda Accord รุ่นพื้นฐาน…เป็นคุณจะเลือกอะไร ?
Seiko Monster JDM อีกเหตุผลที่ต้องจ่ายแพงกว่า เพื่อ….
เราเข้าใจว่าคุณอาจจะมีข้อโต้แย้งว่าตัวอย่างข้างต้นมันแตกต่างในแง่ของวัตถุประสงค์การใช้งาน แต่เชื่อเถอะว่า คนเราเวลาตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน วงเงินมักจะเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบ ซึ่งกรณีนี้ก็เหมือนกับสภาพที่เราเจอกับการซื้อนาฬิกาเช่นเดียวกัน เอาเป็นว่าในวงเงิน 1 หมื่นกลาง คุณจะเลือกอะไร ระหว่าง Seiko Monster JDM ที่มาพร้อมกับขุมพลังอย่าง 6R15 กับ Sumo ซึ่งใช้กลไกตระกูล 6R เหมือนกัน แต่มีหน้าตาเชยๆ ไม่ค่อยจะสปอร์ตเอาเสียเลย เพียงแต่มีระดับตลาดสูงกว่า
เมื่ออ่านถึงบรรทัดนี้คุณคงได้เห็นแล้วว่า…ผมเลือกแบบไหน
จริงๆ แล้วผมกับนาฬิกาตระกูล Monster ของ Seiko ไม่ใช่เนื้อคู่กันสักเท่าไร คบกันมาตั้งแต่รุ่นคลาสสิค จนถึง The Fang ผลคือ ไม่เคยมีเรือนไหนติดกรุได้ยืดยาว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกปล่อย หรือไม่ก็เทรดออกไปอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่า Monster เป็นนาฬิกาที่ไม่สวยนะ ผมยอมรับเลยว่านี่คือ นาฬิกาอีกรุ่นของ Seiko ที่ออกแบบได้สวยและลงตัวอย่างมาก และที่สำคัญคือ มีราคาไม่แพงจนเกินไป (ถ้าไม่นับพวกรุ่นลิมิเต็ดทั้งหลายนะ)
อย่างไรก็ตาม Monster ยุคใหม่ที่กลายร่างมาเป็น The Fang นั้น ไม่ได้มีแค่รุ่นปกติที่ใช้กลไก 4R36 ซึ่งปัจจุบันเป็นกลไก Base สำหรับนาฬิการุ่นพื้นฐานของ Seiko แทนที่พวก 7S26 ไปแล้ว แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่ผลิตและขายเฉพาะในญี่ปุ่นในฐานะที่เป็น JDM อย่างแท้จริง นั่นคือ Monster JDM ที่วางกลไกของ Sumo อย่าง 6R15
Seiko เปิดตัวนาฬิกาเวอร์ชันนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014 และออกมาเพียง 2 รุ่นเท่านั้น คือ หน้าดำในรหัส SBDC025 และอีกรุ่นที่เห็นอยู่นี้คือ หน้าส้ม SBDC023 โดยตั้งราคาแบบไม่หักส่วนลดเอาไว้ที่ 60,000 เยน ใกล้เคียงกับ Sumo ที่มีคลาสตลาดใหญ่กว่า Monster เลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว งานนี้มันให้อารมณ์เหมือนกับคุณขับ Subaru Impreza STI แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรงของคุณคือ ขุมพลังที่มีสมรรถนะร้อนแรงขนาดไหน เพราะเมื่อมองจากข้างนอก พวกเขาก็คิดว่ามันคือ Impreza คันหนึ่งที่แต่งให้แตกต่างจาก Impreza ที่แม่บ้านขับไปจ่ายกับข้าวเท่านั้นเอง…ในกรณีของ Monster JDM ก็เช่นเดียวกัน
ดูภายนอกผ่านๆ ใครก็คิดว่ามันคือ Monster รุ่นธรรมดา (แต่คุณต้องจ่ายค่าตัวมันมากกว่ารุ่นธรรมดาเกือบเท่าตัว) แต่จริงๆ แล้วมันมีอะไรที่เหนือกว่า โดยเฉพาะกลไก 6R15 ที่ขึ้นชื่อในด้านการเดินที่เรียบและนุ่มนวลกว่ารุ่นเล็กอย่าง 4R36 แถมยังสำรองพลังงานได้เกือบๆ 50 ชั่วโมง
จริงๆ แล้ว 6R15 คือกลไกที่ถูกขัดแต่งมาจาก 7S26 ให้มีความเที่ยงตรงมากขึ้น สำรองพลังงานมากขึ้น และมีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้น เช่น การ Hack เข็มวินาที หรือการขึ้นลานด้วยมือ ซึ่งกลไก 7S26 ไม่มี
อีกทั้งกับขนาดตัวเรือนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตรนิดๆ และ Lug-to-Lug อยู่ที่ 47 มิลลิเมตร ต้องยอมรับว่า อาจจะดูเล็กไปหน่อยกับข้อมือ 7 นิ้ว แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดอาการลังเลหรือคาจน จนต้องดึงข้อมือซ้ายขึ้นมาพิจารณาอยู่บ่อยครั้งว่า ‘มันเล็กไปหรือเปล่า’
สิ่งที่ต่างจาก Monster รุ่นปัจจุบันในตระกูล The Fang นอกจากกลไกแล้ว คือ หน้าปัด ซึ่งมีการเปลี่ยนมาใช้แบบหลักชั่วโมงเหลี่ยมคล้ายกับ Monster ตัวดั้งเดิม เพียงแต่ไม่มีตัวเลขวินาทีประกบตามหลักชั่วโมงต่างๆ ตรงนี้เหมือนกับ Seiko กำลังแก้ไขและหาทางออกหลังจากที่ดูเหมือนว่าหลักชั่วโมงแบบเขี้ยว หรือ The Fang นั้นไม่ค่อยฮ็อตเท่าไร ขณะที่ในส่วนของเข็มชั่วโมง นาที และวินาที ไม่แตกต่างจาก Monster The Fang
อ้อ…อีกสิ่งที่ต่างและผมถือว่าโดนใจมาก คือ การที่มีเลนส์ Cyclop ตรงช่องบอกแค่เฉพาะวันที่ หรือ Date ตรงตำแหน่ง 3 นาฬิกาของหน้าปัด ไม่ต้องมีทั้ง Day/Date ให้ต้องตั้งกันวุ่นวาย และถ้าจะให้เป็นแบบ No Date ก็น่าจะดีไม่น้อยสำหรับบางคนที่ชอบเปลี่ยนนาฬิกาบ่อย และขี้เกียจมาตั้งวันที่ เสียอย่างเดียวกระจกยังเป็นแบบ Hardlex ไม่ใช่ Sapphire
ขณะที่ทุกอย่างก็เหมือนกับ Monster The Fang ทั้งตัวบอดี้ Bezel และการตั้งเม็ดมะยมเอาไว้ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกาบนตัวเรือน โดยขอบ Bezel ที่เป็นเหล็กของ Monster นั้นถือว่าลงตัวและคลาสสิคมาก อีกทั้งยังไม่ต้องวุ่นวายกับการระวังเวลาใช้งานมากนัก ว่าจะเกิดรอยด่างพร้อยหากไปกระแทกเข้ากับอะไรเหมือนกับพวกขอบฟิล์ม ขณะที่ตัวเกราะ หรือ Shrould ก็ถูกออกแบบให้เว้าตรงตำแหน่ง 1-3 นาฬิกา และ 6-9 นาฬิกา เพื่อความสะดวกในการหมุนใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อต้องดำน้ำ
สำหรับบ้านเรา ถ้าจะหากันจริงๆ คงไม่มีตามเคาน์เตอร์ของ Seiko อาจจะต้องพึ่งจากการสั่งเข้ามาเอง หรือไม่ก็ต้องมองหาพ่อค้าที่หิ้วเข้ามา ซึ่งราคาก็จะใกล้เคียงกับ Sumo แบบขายตามอินเตอร์เน็ต โดยมีราคาบวกลบอยู่ที่ 15,000 บาทหรือถ้าเจอของมือสองสภาพดี ราคาก็หนีกันไม่เยอะ ประมาณ 12,000-13,000 บาทขึ้นอยู่กับาสภาพ แต่ทั้งนี้ แค่หาให้เจอก่อนก็แล้วกัน เพราะปริมาณของนาฬิกาเรือนนี้กับการหมุนเวียนในตลาดมีไม่มากนัก
อ่านมาถึงบันทรรทัดนี้ หลายคนก็ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าที่เราจะต้องจ่ายเพิ่มเพื่อแลกกับความต่างในเชิงรูปลักษณ์ที่ไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับ Monster รุ่นพื้นฐาน แน่นอนว่าคำถามนี้จะไม่เกิดขึ้นในกรณีที่คุณเป็น Monstermania
แต่ถ้าไม่ใช่ และคุณเป็นคนเล่นนาฬิกา เราก็คงพอจะโน้มน้าวให้คุณเชื่อถึงข้อดีของมันในแง่ที่นาฬิกาเรือนนี้อาจจะทำให้เพื่อนในวงหรือคนเล่นนาฬิกาคนอื่นเกิดจินตนาการกระเจิงเมื่อคิดถึงกรุของคุณว่ามันจะเทพขนาดไหน
เพราะอย่างที่บอก ใครจะมาบ้าควักเงินอีกเท่าตัวเพื่อจ่ายกับนาฬิกาที่หน้าตาไม่ต่างจากรุ่นธรรมดามากนัก ถ้าไม่ใช่นักเล่นนาฬิกาตัวยงที่ผ่านอะไรมาอย่างโชกโชน…นี่เป็นเหตุผลที่ผมพยายามบอกตัวเองอยู่นะ
คุณสมบัติของ : Seiko Monster JDM
- กลไก : 6R15
- สำรองพลังงาน : 50 ชั่วโมง
- ความคลาดเคลื่อน : -15/+25 วินาทีต่อวัน
- กันน้ำ : 200 เมตร
- เส้นผ่าศูนย์กลางไม่รวมเม็ดมะยม : 42.3 มิลลิเมตร
- หนา : 13.1 มิลลิเมตร
- Lug-Lug : 47.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 184 กรัม
- ความกว้างขาสาย : 20 มิลลิเมตร
- จุดเด่น : ได้กลไกที่แม่นยำในตัวบอดี้ที่สวยของ Monster
- จุดด้อย : แพงเมื่อมองว่ามันเป็นแค่ Monster และหน้าปัดสีส้มหาจับคู่สายยากเหลือเกิน
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/