Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี

0

ในยุคที่อะไรมีการเปลี่ยนแปลงชนิดรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็น Smart Watch รุ่นแรกๆ อย่าง Pebble Watch Classic จะหนังเหนียวและยืนอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันของอุปกรณ์พวก Wearable ที่มีทางเลือกมากมาย

Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี
Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี

Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี

- Advertisement -

Pebble Watch ซึ่งในปัจจุบันถูกเรียกว่าเป็น Classic ( Pebble Watch Classic เพราะ Pebble เปิดตัวทางเลือกใหม่ๆ ออกมามากมาย) ยังมีขายอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่เปิดตัวออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 2012 และถือเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ Kick Starter ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

ซึ่งประเด็นหนึ่งอาจจะเป็นเพราะในตอนนั้น Smart Watch ยังเป็นของใหม่ และ Pebble Classic มีความเป็น Smart Watch มากกว่าที่ Cookoo Watch คู่แข่งในตอนนั้นเป็น

เอาเข้าจริงๆ ผมกับพวก Smart Watch อาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสกันมาก เรียกว่านับรุ่นได้ เช่น Moto 360 Gen1, Sony Smartwatch 2, Cookoo Watch ทั้ง 1 และ 2 แล้วก็ Pebble Classic ซึ่งแต่ละรุ่นมีดีต่างกัน แต่เหตุผลที่ Pebble Classic ยังอยู่ติดกรุผมเอาไว้มีเพียงประเด็นเดียวคือ เป็น Smart Watch ที่ผมไม่ต้องมองหาปลั๊กเสียบชาร์จบ่อยครั้ง

ถ้าไม่นับ Cookoo Watch ที่เป็นนาฬิกามากกว่า  Smart Watch แล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่จะติดปัญหาที่บรรดา Smart Watch ยังแก้ไม่ตกคือ แบตเตอรี่ที่ไม่คงทน และทำให้มันกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีข้อจำกัดเหมือนกับรถไฟฟ้ายังไงยังงั้น คือ หมดไฟ  หมดประโยชน์

ทางผู้ผลิตเคลมว่า Pebble Classic อยู่นานถึง 7  วัน ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะจริง เพราะหน้าจอที่ดูแล้วน่าจะเป็นตัวกินไฟหลักนั้น เป็นผลผลิตมาจากเทคโนโลยี e-Paper แบบขาว-ดำ ไม่ใช่พวก LCD ข้อดีก็อย่างที่บอกข้างบน ส่วนข้อเสียคือ มันไม่สวยและไม่มีสีสัน ดูกลางคืนไม่ได้ นอกจากจะไปเซ็ตให้หน้าจอสว่างเวลาพลิกข้อมือ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะมีได้ก็ต้องมีเสีย

ในแง่ของรูปทรงของตัวเรือนนั้นถือว่าดูดีและมีสไตล์ แต่ที่สงสัยเพียงอย่างเดียวคือ ในเมื่อ Pebble ต้องการเจาะกลุ่มทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทำไมถึงเลือกออกแบบนาฬิกาที่มี Lug-to-Lug ที่ยาวเอาเรื่องเกิน 51 มิลลิเมตรอีก ซึ่งงานนี้ใครที่มีข้อมือต่ำกว่า 7 นิ้วมีกางแน่ๆ จะว่าเป็นเพราะหน้าจอขนาด 144X168 Pixle ที่มีขนาดวัดในแนวเฉียง 1.26 นิ้ว ก็ไม่ใช่ เพราะขนาดของขอบตัวเรือนยังเหลืออีกเพียบ  ขณะที่ตัวเรือนมีความกว้างแบบไม่รวมปุ่มอยู่ที่ 33 มิลลิเมตร ส่วนขาสายที่มีความกว้าง 22 มิลลิเมตร หากไม่พอใจสายยางแบบเดิมๆ ก็ลองหาสายอย่าง Nato หรือสายหนังสวยๆ มาจับคู่ดูก็ได้

Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี
Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี
Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี
Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี Pebble Watch Classic ยุคแรกเริ่มของ Smart Watch ที่ยังไปได้ดี

อีกเรื่องที่ดูแล้วป๋องแป๋งไปหน่อย คือ เรื่องของวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิต ไม่ค่อยเนียนเท่าไร แถมตอนแรกผมสั่งสีขาวมาใช้เพราะเห็นจากในเว็บแล้วหน้าตาดูดีมาก แต่สุดท้ายพอมาถึงมือ กลับผิดหวังอย่างมาก เพราะมันดูเป็นพลาสติกมากไป อาจจะเป็นเพราะโดนหน้าจอที่เป็นพลาสติกใสวางทับอีกที ก็เลยตัดสินใจขายไป และเลือกสีแดงดำมาใช้งานแทน ซึ่งก็ยังเจอกับปัญหานี้ แต่ก็น้อยกว่าสีขาว

สำหรับเรื่องการอ่านภาษาไทยที่ตอนแรกมีปัญหาว่าไม่รองรับ เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไปแล้ว แค่เข้า Google แล้วเสิร์ชหา ก็จะมีวิธีทำ และเปลี่ยนให้ Pebble Classic ของคุณคุยกับคนไทยรู้เรื่องแล้ว การใช้งานก็ง่าย ไม่ยาก โดยที่การจัดวางปุ่ม ดูเหมือนว่าผู้ผลิต Pebble จะจัดการให้เป็นฟอร์เม็ตเหมือนกับรุ่นทุกรุ่น คือ ด้านซ้ายเป็นปุ่ม Return และตัวชาร์จ ขณะที่ฝั่งขวาเรียงกัน 3  ปุ่ม เรียกว่าเหมือนกับคุณเรียนรู้การใช้งาน Casio G-Shock สักรุ่น คุณก็จะสามารถใช้งานรุ่นอื่นๆ ได้อย่างสะดวก เพราะปุ่มกดมีการทำงานแบบเดียวกัน

ในส่วนของฟังก์ชั่นพื้นฐาน ก็รองรับกับงานง่ายๆ ตามแบบฉบับ Smart Watch รุ่นแรกๆ เน้นแจ้งเตือนเป็นหลัก เช่น พวก สายเรียกเข้า, Miss Call, SMS, E-Mail, FB, Calendar Reminder ควบคุมการเล่นเพลง และพยากรณ์อากาศ ส่วนพวกวัด Heart rate หรืออะไรแปลกๆ ต้องไปมองหารุ่นที่ไฮเทคกว่านี้

อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ Smart Watch ได้รับความนิยมคือ Watchface ซึ่งสามารถทำให้คุณไม่ซ้ำซากและจำเจกับหน้าตาแบบยึดตายตัวของพวกนาฬิกากลไกทั้งหลาย ซึ่งในกรณีของ Pebble Classic ก็มีหน้าตาให้เลือกใช้มากมาย ทั้งแบบเน้นบอกเวลา บอกเวลาที่ 2-3-4 หรือแม้แต่บอกพยากรณ์อากาศ ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการแบบไหน เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับ Smart Watch รุ่นใหม่ๆ ที่เป็นหน้าจอสีแล้ว ความสวยงามอาจจะด้อยกว่ามากเท่านั้นเอง (แต่ราคาของ Pebble Classic ก็ถูกกว่ามาก)

กับค่าตัวในตอนเริ่มต้น 150 เหรียญสหรัฐฯ ณ ตอนนี้ราคาของมันหล่นลงมาเรื่อยๆ เพราะเปิดตัวมานานแล้ว จนอยู่ที่ 69 เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงลดโปรโมชั่น เรียกว่าใครที่อยากได้มาใส่สักเรือน ไม่น่าพลาด เพราะถือว่าเป็น Smart Watch ที่คุ้มค่ากับราคารุ่นหนึ่งเลยทีเดียว

คุณสมบัติของ : Pebble Watch Classic

  • กว้าง : 33 มิลลิเมตร
  • ยาว : 51 มิลลิเมตร
  • ขาสาย : 22 มิลลิเมตร
  • ความหนา : 11.5 มิลลิเมตร
  • ระบบที่รองรับ :  Android 2.3+ / iOS 5+
  • อายุแบตเตอรี่ : 7 วัน
  • กันน้ำ : 50 เมตร
  • ข้อดี : ราคาไม่แพง ใช้งานง่าย อายุแบตเตอรี่นานกว่า Smart Watch ทั่วไป มีหน้าจอให้เลือกเยอะ
  • ข้อเสีย : งานประกอบไม่เนียน แถบแม่เหล็กชาร์จแบตเตอรี่ไม่ค่อยติดแน่นทำให้หลุดประจำ รองรับการใช้งานได้ไม่หลากหลายเท่า Smart Watch ปัจจุบัน หน้าจอขาวดำ

Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/