ครั้งแรกของ Oris กับนาฬิกา Limited Edition ที่มีต้นทางในการพัฒนาโปรเจ็กต์มาจากเมืองไทย และมีการส่งขายทั่วโลก โดย Oris Payoon Limited Edition เปิดตัวในวันพะยูนแห่งชาติ และจะมีการผลิตจำนวนทั้งสิ้น 250 เรือน โดยใช้พื้นฐานของ Aquis Calibre 400
Oris Payoon Limited Edition ครั้งแรกของ Limited Edition จากไทยส่งขายทั่วโลก
-
นาฬิกา Limited Edition เรือนแรกของ Oris ที่ใช้พื้นฐานของรุ่น Aquis Calibre 400
-
เป็นโปรเจ็กต์ที่มีต้นทางในการผลิตจากเมืองไทยโดยอ้างอิงจากพะยูนซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสภาวะ ใกล้สูญพันธุ์
-
จำนวนการผลิตอยู่ที่ 250 เรือน โดยจะมีจำหน่ายในเมืองไทย 100 เรือน และที่เหลือส่งขายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
จากเรื่องราวของมาเรียม พะยูนน้อยที่พลัดหลงจากแม่และกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เมื่อถูกนำมาเลี้ยงโดยมนุษย์ที่เกาะลิบงเมื่อปี 2019 และสามารถสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญและความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของพะยูนในธรรมชาติ
ในตอนนี้ทาง Oris ได้จับมือกับ Trocadero Time ตัวแทนจำหน่ายของ Oris ในประเทศไทย ในการผลิตนาฬิการุ่นพิเศษ Oris Payoon Limited Edition ที่มีการผลิตจำนวนทั้งหมด 250 เรือนสำหรับจำหน่ายทั่วโลก โดยในจำนวนนั้นจะมี 100 เรือนสำหรับขายในตลาดเมืองไทย
นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของรุ่น Aquis Date Calibre 400 ที่มีขนาดตัวเรือน 43.5 มิลลิเมตร และได้เลือกรุ่นที่มีตัวเรือนและสายซึ่งผลิตจากสแตนเลสสตีล พร้อมกับการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเพื่อให้สามารถสอดคล้องกับแนวคิดของการผลิตนาฬิกา Limited Edition รุ่นนี้
ที่น่าสนใจคือ นี่เป็นนาฬิกา Limited Edition เรือนแรกที่ถูกผลิตขึ้นบนพื้นฐานของ Aquis Calibre 400 ซึ่งถือเป็นกลไกที่ถูกเรียกว่า The New Standard ในการเซ็ตมาตรฐานใหม่ให้กับวงการนาฬิกาด้วยการเป็นกลไก In-House สวิสส์แบรนด์ที่อยู่ในราคาจับต้องได้
พร้อมคุณสมบัติเด่นๆ 3 เรื่อง คือ พลังงานสำรองที่นานถึง 5 วัน ความทนทานต่อสนามแม่เหล็กระดับสูง และการรับประกันที่นานถึง 10 ปีเมื่อคุณเข้าไปลงทะเบียนที่ MyOris ในเว็บไซต์
นอกจากนั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกของการจับคู่กันระหว่างกลไก Calibre 400 กับขอบตัวเรือนจับเวลาแบบนูน หรือที่เรียกว่า Relief Bazel ซึ่งเป็นสเตนเลสสตีลสีเงินออกเทาๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจสีผิวหนังของพะยูน เพราะตามปกติแล้ว ในรุ่น Aquis Date Calibre 400 จะใช้ขอบตัวเรือนที่มาพร้อมกับอินเสิร์ตเซรามิก
ตัวนาฬิกามากับหน้าปัดเป็นสีเขียวแบบ Gradient ซึ่งจะมีการไล่เฉดสีจากตรงกลางไปสู่ขอบนอกของหน้าปัดที่เป็นสีดำ
ซึ่งสีเขียวคือ สีของน้ำทะเลของเกาะลิบงเมื่อมองจากด้านบน ซึ่งเกาะลิบงมีความสำคัญ 2 ประการสำหรับนาฬิการุ่นนี้คือ เป็นแหล่งที่มีหญ้าทะเลที่เป็นอาหารของพะยูน ดังนั้น ที่นี่จึงเป็นจุดรวมพะยูนเข้ามาอยู่อาศัยเยอะที่สุดในเมืองไทย
ส่วนอีกเรื่อง นี่คือ สถานที่ซึ่งถูกใช้ในการเลี้ยงแบบธรรมชาติของมาเรียมเมื่อปี 2019 และเรื่องราวของมาเรียมเองก็ถือเป็นสิ่งที่จุดประกายที่ทำให้เกิดโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมา เพื่อกระตุ้นเตือนให้คนไทยและคนทั่วโลกได้รับทราบถึงการอยู่ในสภาวะแห่งความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
เมื่อพลิกฝาหลัง จะพบกับการสลักภาพพะยูนแม่ลูกว่ายคลอเคลียกัน ตรงนี้ก็เลยมีความพิเศษ โดยนัยหนึ่งของการมี 2 ตัวคือการสื่อถึงการอยู่ร่วมกันของพะยูนตามธรรมชาติ
นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญอีก 3 เรื่องของนาฬิกาเรือนนี้ คือ การเป็น Limited Edition ที่มีจุดเริ่มต้นจากเมืองไทย และมีการส่งไปขายในตลาดโลกด้วย โดยจำนวนผลิต 250 เรือนนั้นเป็นตัวเลขของจำนวนของพะยูนที่เหลืออยู่ในธรรมชาติจากการสำรวจครั้งล่าสุดนั่นเอง โดยจะแบ่งเป็นการจำหน่ายในเมืองไทย 100 เรือน และที่เหลือจะกระจายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เรื่องต่อมาคือ ชื่อรุ่นซึ่งเป็นการเขียนทับศัพท์ของชื่อ พะยูน ในภาษาไทย และไม่ได้ใช้คำว่า Dugong ที่เป็นคำภาษาอังกฤษของพะยูน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าถ้าไม่ใช่ชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อบุคคล ชื่อเมือง ชื่อแม่น้ำ หรือชื่อสถานที่ เราแทบไม่เห็น Oris ใช้ชื่อทับศัพท์จากภาษาท้องถิ่นในการนำมาตั้งให้กับนาฬิกาของตัวเองเลย
และสุดท้ายการเปิดตัวคือ วันที่ 17 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่น้องมาเรียมจากเราไป และถือเป็นวันพะยูนแห่งชาติ ซึ่ง Oris เลือกใช้วันนี้ในการเปิดตัวนาฬิการุ่นนี้ออกสู่ตลาด
สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 137,900 บาท โดยในเซ็ตจะมากับกล่องที่ด้านในของฝาบนจะมีการพิมพ์ลายของพะยูนแม่ลูกแบบเดียวกับฝาหลังลงไป พร้อมกับใบ Certification เพื่อรับรองเรือนที่ถูกผลิต
รายละเอียดทางเทคนิค : Oris Payoon Limited Edition
- เส้นผ่านศูนย์กลาง: 43.5 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือนและสาย: Stainless Steel
- ระดับการกันน้ำ: 300 เมตร
- กระจก: Sapphire ทรงโค้งทั้ง 2 ด้าน
- กลไก: อัตโนมัติ Calibre 400
- จำนวนทับทิม: 21 เม็ด
- ความถี่ในการเดิน: 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง / 4 Hz
- กำลังงานสำรอง: 120 ชั่วโมงหรือ 5 วัน
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline