สำหรับคนที่มองหานาฬิกาจับเวลาที่มาพร้อมกลไกอัตโนมัติ มีราคาที่จับต้องได้ และเป็นสวิสส์แบรนด์ที่มีชื่อเสียง และฝีมือในการผลิตที่โดดเด่นและเปี่ยมด้วยความประณีต Maurice Lacroix Pontos S Chronograph ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกับระดับราคาเกินแสนบาทมานิดหน่อย
Maurice Lacroix Pontos S Chronograph ตัวเลือกที่คนรักนาฬิกาจับเวลาไม่ควรพลาด
-
นาฬิกาจับเวลารุ่นใหม่จากคอลเล็กชั่น Pontos S ของ Maurice Lacroix
-
ตัวเรือนแบบสแตนเลสสตีลมีขนาด 43 มิลลิเมตร พร้อมหน้าปัด 2 สีที่ออกแบบอย่างลงตัว
-
ขนาดถือว่ากำลังดีเพราะการออกแบบขาสายที่ทำให้ดูกาง และมาพร้อมกลไกอัตโนมัติ ML-112
ในช่วงปีที่ผ่านมา ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า Maurice Lacroix เป็นแบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตในด้านยอดขายที่ดีมาก และถูกพูดถึงจากคนรักนาฬิกาชาวไทยกันอย่างกว้างขวาง เพราะคอลเล็กชั่น Aikon ของพวกเขาเป็นนาฬิกาที่ดูสวยและลงตัวมากรุ่นหนึ่งเลยทีเดียวสำหรับคนที่มีงบประมาณอยู่ในช่วงครึ่งแสนบาท
อย่างไรก็ตาม Maurice Lacroix ไม่ได้มีแค่ Aikon ที่น่าสนใจ เพราะในงาน Central Watch Fair 2022 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราได้เห็นความน่าสนใจที่ว่านั่น ซึ่งก็คือ การเปิดตัวโฉมใหม่ของ Pontos s Chronograph เรียกว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับแฟนๆ Maurice Lacroix หรือคนรักนาฬิกาที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ ที่มีคุณภาพในระดับราคาที่เข้าถึงได้
สำหรับ Pontos แล้ว ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบเป็นพิเศษและเป็นความชอบแบบฝังใจในอดีตกับรุ่น S Diver ที่เปิดตัวในปี 2013 ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งสนใจนาฬิกาในกลุ่ม Swiss Brand มาได้สักระยะหนึ่ง และเริ่มมองหาทางเลือกที่คุ้มค่าและสมเหตุผลกับงบประมาณที่มีอยู่ในตอนนั้น
เพราะด้วยเหตุที่ Pontos S Diver เป็นนาฬิกาที่สวย สปอร์ต มีเอกลักษณ์กับดีไซน์ที่ค่อนข้างร่วมสมัย โดยเฉพาะปุ่มหมุนจับเวลาในตำแหน่ง 2 นาฬิกา นั่นก็เลยทำให้ผมค่อนข้างชอบคอลเล็กชั่นนี้เป็นพิเศษ และนึกถึงก่อนใครเพื่อนเวลาที่พูดถึงนาฬิกาจาก Maurice Lacroix
อย่างไรก็ตาม Pontos S ไม่ได้มีแค่รุ่น 3 เข็มธรรมดา แต่ยังมีตัวจับเวลา หรือ Chronograph เป็นอีกทางเลือก และ Pontos S Chronograph รุ่นใหม่ล่าสุดเกิดจากการเชื่อมโยงของสองโลกที่แตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งสไตล์อันสง่างามและความสปอร์ต โดย Maurice Lacroix ได้นำองค์ประกอบเหล่านี้มาหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้การออกแบบเพื่อให้เหมาะสำหรับการสวมใส่ในทุกๆ โอกาสได้อย่างแท้จริง
ตัวเรือนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 43 มิลลิเมตรผลิตจากสแตนเลสสตีล ถือว่ากำลังดีเลยสำหรับคนที่มีข้อมือระดับ 6.5 ถึง 7 นิ้วตัวนาฬิกามีทั้งรุ่นที่ใช้สายสแตนเลสสตีลและสายผ้าคอดูราที่มีความทนทานและสวยงามซึ่งคุณสามารถถอดสลับกันได้อย่างสะดวกและง่ายดายเพราะว่ามาพร้อมกับระบบถอดเปลี่ยนสาย Easy Strap Exchange ที่สามารถเลือกเปลี่ยนระหว่างสายอื่นๆ หรือสายโลหะได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยใดๆ
สิ่งที่ปรับปรุงและถือเป็นจุดแตกต่างจากรุ่นที่ผ่านมา คือ ปุ่มกดของระบบจับเวลาเป็นทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกขยายยาวขึ้นทำให้กดได้อย่างสะดวก และดูลงตัวกับรูปลักษณ์โดยรวมของตัวนาฬิกา ส่วนใครที่คิดว่าข้อมือเล็กในระดับ 6 นิ้วบวกลบแล้วเกิดความกังวลว่าจะใส่นาฬิกานี้ได้หรือไม่ หลังจากที่ได้ลองและดูรูปร่าง
โดยรวมของตัวเรือนแล้ว ส่วนตัวผมว่าอาจจะรอดเพราะ Maurice Lacroix ออกแบบขาสายบนตัวเรือนให้เล่นระดับด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ไม่กางออก และเมื่อสวมลงบนข้อมือขาสายนี้จะโค้งลงและรัดกระชับเข้ากับข้อมือ เอาเป็นว่าข้อมือขนาด 6.5-7 นิ้วโอกาสสอบผ่านแบบนาฬิกายิ้มให้มีสูง แต่ถ้าต่ำกว่านี้ผมว่าน่าจะรอด แต่จะยิ้มให้หรือเปล่าอันนี้แนะนำให้ไปลองทาบดูก่อนตัดสินใจจะดีกว่า
ขณะที่ขอบตัวเรือนเป็นแบบเซรามิก มั่นใจได้เลยในเรื่องวามทนทานและไร้รอยขีดข่วน ซึ่งบนอินเสิร์ตของขอบตัวเรือนนี้จะมีการสลักสเกลจับเวลาและความเร็วของ Tachymeter เอาไว้ตามแบบฉบับของนาฬิกาจับเวลา
หน้าปัดเป็นอีกจุดที่ถือว่าเปลี่ยนแปลงและทำได้ดีมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการสร้างสรรค์ของทาง Maurice Lacroix พื้นผิวหน้าปัดมาในแบบพ่นทราย (Sandblasted) มี 2 สี คือ สีขาวเงิน และสีน้ำเงินเข้ม ส่วน Indexes หรือหลักชั่วโมงเป็นทรงเจียระไนแบบเหลี่ยมเพชรบนหน้าปัดแสดงเวลาชั่วโมงต่างๆ ดูโดดเด่นและเปล่งประกายสว่างอย่างชัดเจน
ด้านการจัดวางในแต่ละมาร์กเกอร์และแทร็คนาที ลงตัวทั้งในเชิงความสวยและความสะดวกในการใช้งานเพราะสามารถอ่านค่าได้อย่างชัดเจนแม้ภายใต้สภาวะแสงสลัว รวมไปถึงสเกลจับเวลาที่อยู่บนขอบนอกของหน้าปัดที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันโดยอาศัยการผสมผสานของเส้นสายอันเฉียบคมและตัวเลขอารบิกสีแดง ซึ่งมีส่วนช่วยยกระดับความสามารถในการมองเห็นโดยรวมได้อย่างสูง
การจัดวางหน้าปัดย่อยทั้ง 3 จุดมาในตำแหน่ง 6-9-12 ส่วนตัวผมไม่ค่อยการจัดวางในรูปแบบนี้เท่าไรเมื่อเปรียบเทียบกับการวางหน้าปัดย่อยแบบ 3-6-9 เพราะน้ำหนักของหน้าปัดจะถูกเทไปทางฝั่งซ้ายจนหมด แต่กับ Pontos s Chronograph
การใช้หน้าต่างวันที่และวันประจำสัปดาห์ขนาดใหญ่รวมถึงการติดตั้งชื่อแบรนด์และชื่อรุ่นลงไปทางฝั่งขวามือหรือตำแหน่ง 3 นาฬิกาสามารช่วยลดความรู้สึกนี้ได้ และทีมออกแบบของ Maurice Lacroix ก็ทำงานได้อย่างดีในการเกลี่ยให้ภาพรวมของตัวหน้าปัดดูดีและลงตัว ซึ่งทั้งหมดสอดรับกับเข็มชั่วโมงและนาทีกึ่งเปลือยสไตล์ Openworked ตกแต่งเส้นสายด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova®
เมื่อพลิกด้านหลังจะเจอกับฝาหลังแบบใส ตัวฝาเป็นแบบขันเกลียว มั่นใจได้เรื่องการกันน้ำ และเมื่อมองผ่านกระจกแซฟไฟร์ลงไป ก็จะพบกับกลไกจักรกลอัตโนมัติ ML112 calibre ที่ผ่านการตกแต่งอย่างประณีตและผสมผสานด้วยความวิจิตรงดงามของลวดลาย Côtes de Genève, Perlage และการตกแต่งแบบ Sunbrush อย่างลงตัว
ตัวกลไกเป็นรหัส ML-112 แบบอัตโนมัติที่อ้างอิงพื้นฐานมาจากรุ่น Valjoux 7750 ที่ผ่านการขัดแต่งเพื่อความสวยงามอย่างที่อธิบายไปก่อนหน้านี้ โดยกลไกชุดนี้เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการจับเวลาซึ่งสูงสุดถึง 12 ชั่วโมง และมีกำลังสำรอง 42 ชั่วโมงถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ผมค่อนข้างชอบนะครับสำหรับนาฬิกาที่มาพร้อมกับฝาหลังใสและทีมออกแบบตั้งใจที่จะขัดลายและขัดแต่งชิ้นส่วนของกลไกให้มีความสวยงามและโดดเด่น ทำให้เจ้าของสามารถชื่นชมได้อย่างเต็มที่ทั้งด้านหน้าและหลัง
Pontos S Chronograph มีราคาอยู่ที่ 125,000 บาท ถือว่าเป็นระดับราคาที่จับต้องได้กับนาฬิกาสักเรือนที่เป็น Swiss Made จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และถ้าคุณมองไปที่รายละเอียดของตัวนาฬิกาอย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ จะพบว่า นี่คืออีกทางเลือกที่น่าสนใจในแง่ความเด่นของความพิถีพิถันซึ่งทาง Maurice Lacroix จับใส่เข้าไปในนาฬิกาเรือนนี้อย่างเต็มที่
พูดง่ายๆ คือ ดูรายละเอียดบนหน้าปัดก็เพลิน จะพลิกด้านหลังมานั่งดูก็เพลินไม่แพ้กันเลยครับ
รายละเอียดทางเทคนิค : Maurice Lacroix Pontos S Chronograph
- เส้นผ่านศูนย์กลาง : 43 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือน : สแตนเลสตีล
- กระจก : Sapphire เคลือบสารกันการสะท้อนแสง
- กลไก : อัตโนมัติ ML112 จับเวลา Chronograph
- ความถี่ : 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง
- กำลังสำรอง : 42 ชั่วโมง
- การกันน้ำ : 100 เมตร
- ประทับใจ : ภาพรวมการออกแบบ การขัดแต่ง ราคาที่จับต้องได้เมื่อเทียบกับสเป็ก
- ไม่ประทับใจ : ไม่มี
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline