Casio G-Shock Love the sea and the earth 2023 เวอร์ชันใหม่ย้อนยุคด้วยสีดำเหลือง

โดย

MP4/4

05/06/2023

การร่วมมือที่ถือว่ายาวนานและแฟนๆ ของ Casio G-Shock คุ้นเคยคือ การเปิดตัวนาฬิกาจากเซ็ต Casio G-Shock Love the sea and the earth ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับหน่วยงาน I.C.E.R.C. หรือ International Cetacean Education Research Center มาตั้งแต่ปี 1994 และในปีนี้มีการเปิดตัวออกสู่ตลาด 3 รุ่น GW-8200K-9JR, GA-B2100K-9AJR และ GMD-W5600K-9JR ในตลาดญี่ปุ่นเริ่มวางขายแล้วกับราคาตั้งแต่ 26,400-79,200 เยน

Casio G-Shock Love the sea and the earth 2023 เวอร์ชันใหม่ย้อนยุคด้วยสีดำเหลือง

เวอร์ชันใหม่รับปี 2023 ที่อ้างอิงสีสันจากนาฬิการุ่นแรกจากความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานที่เกิดขึ้นในปี 1994
มีจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่นย่อยคือ GW-8200K-9JR, GA-B2100K-9AJR และ GMD-W5600K-9JR
ในตลาดญี่ปุ่นเริ่มวางขายแล้วกับราคาตั้งแต่ 26,400-79,200 เยน

- Advertisement -

นาฬิกาอีกรุ่นที่ถือเป็นเซ็ตพิเศษซึ่งแฟนๆ ของ Casio G-Shock คุ้นเคยกันดีมาตลอดคือ Love the sea and the earth ซึ่งในแต่ละปีทางแบรนด์จะมีการเปิดตัวคอลเล็กชั่นพิเศษประจำปีออกมาอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน Casio G-Shock Love the sea and the earth 2023 มากับความพิเศษตรงที่นอกจากจะเลือกใช้นาฬิกาจากคอลเล็กชั่น Master of G แล้ว ยังมีการใช้รุ่นที่ไม่เคยอยู่ในเซ็ตนี้มาก่อนคือ GA-B2100 ซึ่งในเซ็ตสำหรับปีนี้จะมีจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่น 3 สไตล์

นาฬิกาจากเซ็ตพิเศษนี้ถือเป็นการ Collaboration กับหน่วยงาน I.C.E.R.C. หรือ International Cetacean Education Research Center ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลและพิทักษ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในน้ำอย่างวาฬ และโลมา ที่แฟนๆ Casio รู้จักกันดี ซึ่งทั้งคู่ร่วมมือในการผลิตนาฬิกามาตั้งแต่ปี 1994 ดังนั้น ในปีหน้าเราเชื่อว่าน่าจะมีอะไรดีๆ ที่เป็นทีเด็ดมาจากโปรเจ็กต์นี้อย่างแน่นอน เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาของการครบรอบ 30 ปีในการทำงานร่วมกัน

สำหรับในเซ็ตของปี 2023 จะมีการทำตลาดด้วย 3 แบบโดยทั้งหมดคงคอนเซ็ปต์เดียวกันที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกันมาแล้วในอดีต คือ ตัวเรือนดำและสายเหลือง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสีแรกที่ถูกนำมาใช้กับนาฬิกาเรือนแรกที่เกิดจากการ Collaboration ของ 2 หน่วยงานนี้ นั่นคือ DW-6100DW

ความเปลี่ยนแปลงในเซ็ตปี 2023 คือ ความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยทั้งกรอบตัวเรือนและสายจะผลิตจาก Biomass Plastic ซึ่งผลิตจากการใช้วัสดุทางชีวภาพ และสามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ ขณะที่ตัวแพ็คเกจก็จะใช้กระดาษที่ผลิตจากกระบวนการรีไซเคิลเพื่อช่วยปกป้องโลก โดยจะมีทั้งนาฬิกาสำหรับผู้ชาย ผู้หญิงและแบบ Unisex

GW-8200K-9JR :

เป็นการนำ Frogman รุ่นเล็กในตระกูล 8200 Series ซึ่ง Casio ผลิตและพัฒนาขายคู่กับรุ่นใหญ่อย่างรหัส 1000 Series มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 2010 โดยรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นใหม่ที่มีการปรับปรุงทั้งในส่วนโมดุลและส่วนตัวเรือนที่เปลี่ยนจากสแตนเลสสตีลมาเป็นไทเทเนียม และ Frogman รุ่นนี้ถูกนำมาใช้ในการผลิตเวอร์ชันฉลองครบอรบ 30 ปีของ Frogman มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ตัวเรือนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50.3 มิลลิเมตร และมากับโมดุลในรหัส 3521 มีระบบ Togh Solar ในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นกระแสไฟฟ้า มีฟังก์ชั่นในการแสดงระดับน้ำขึ้นน้ำลง ข้างขึ้นข้างแรม พร้อมความสามารถในการกันน้ำ 200 เมตรตามแบบฉบับนาฬิกาดำน้ำ โดยตัวนาฬิกามีราคาจำหน่ายในญี่ปุ่น 79,200 เยน

GA-B2100K-9AJR :

ถือเป็นครั้งแรกที่ Casio นำนาฬิกาที่อยู่ในกลุ่มวินเทจอย่าง GA-B2100 มาใช้ในการผลิต และความพิเศษของรุ่นนี้คือ สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านทาง Bluetooth ได้ ซึ่งความพิเศษสำหรับนาฬิการุ่นนี้คือ ด้วยความที่เป็นแบบ Analog-Digital ที่มีหน้าจอในการแสดงผลเล็กมาก ก็เลยทำให้เวลากดไฟไม่สามารถที่จะแสดงสัญลักษณ์รูปโลมาหรือวาฬที่เป็นโลโก้ของกลุ่ม I.C.E.R.C. ได้ ดังนั้น ทีมออกแบบก็เลยปรับให้เข็มที่แสดงฟังก์ชั่น ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกาเป็นรูปวาฬเลย สำหรับราคาของนาฬิการุ่นนี้ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 27,500 เยน

GMD-W5600K-9JR :

เป็นเวอร์ชันไซส์เล็กสำหรับผู้หญิง ซึ่งมีตัวเรือนขนาด 40.5 มิลลิเมตร บนหน้าจอเมื่อกดไฟจะมีภาพของโลมา ปรากฏขึ้นมา ตัวโมดุลที่ใช้ในนาฬิการุ่นนี้เป็นรหัส 3493 มาพร้อมกับฟังก์ชั่น Multiband6 ในการรับสัญญาณวิทยุเพื่อปรับความเที่ยงตรงของเวลา และ Tough Solar ในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นกระแสไฟฟ้า สำหรับราคาของนาฬิการุ่นนี้ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 26,400 เยน