Casio G-Shock GMW-B5000 : กับ 5 เรื่องน่าสนใจของนาฬิการุ่นนี้

0

ณ ตอนนี้กระแสการเตรียมเปิดตัว GMW-B5000 นาฬิกาเหล็กที่ถูกสร้างขึ้นบนเรือนร่างและหน้าตาที่คล้ายกับรุ่นคลาสสิคของ G-Shock อย่าง DW5000 ในบ้านเรากำลังฮ็อตได้ที่ เพราะกำลังจะมีการเปิดตัวในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้พร้อมกับรุ่นที่ 4 ของเวอร์ชันฉลอง 35 ปีอย่าง Origin Gold เอาละ…สำหรับคนที่เล็งๆ กันไว้ เรามาดูกันว่าตรงไหนกันบ้างที่ทำให้ Casio G-Shock GMW-B5000 มีความน่าสนใจ

- Advertisement -

Casio G-Shock GMW-B5000 : กับ 5 เรื่องน่าสนใจของนาฬิการุ่นนี้

ต้องยอมรับว่าช่วงนี้กระแสของ GMW-B5000 ของ Casio G-Shock

ในบ้านเรามาแรงจนฉุดไม่อยู่แม้ว่าจะทยอยเปิดตัวในตลาดต่างๆ มาได้สักระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ นั่นเพราะว่าวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ ทาง Casio จะนำนาฬิการุ่นนี้มาเปิดตัวขาย ซึ่งในตอนนี้เปิดราคาออกมาแล้วว่าถ้าเป็นรุ่นสีเงินในรหัส GMW-B5000D-1 จะอยู่ที่ 23,000 บาท และ GMW-B5000TFG-9 จะอยู่ที่ 25,000 บาท ใครที่สนใจก็เตรียมเงินเอาไว้ได้เลย แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนาฬิการุ่นนี้ว่าทำไมถึงน่าสนใจนัก วันนี้เราลองหา 5 จุดเด่นเกี่ยวกับ GMW-B5000 มาให้อ่านกันครับ

1.Big Surprise : G-Shock กับการใช้ Stainless Steel หรือวัสดุอื่นๆ ที่เป็นโลหะในการผลิตตัวเรือนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจสักเท่าไรแล้ว เพราะพวกเขาผลิตนาฬิกาลักษณะนี้ออกมานานแล้ว แต่เมื่อสักกลางปีที่แล้ว ตอนที่ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งคุยแบบ Exclusive กับสื่อเล่มอื่นในเมืองไทยช่วงที่มิสเตอร์ Kikuo Ibe มาเยือนเมืองไทยเพื่อทำ Pre-PR ก่อนที่จะถึงช่วงของการเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีนั้น เขาได้พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของการนำวัสดุที่มีความทนทานและไม่ใช่เรซินอย่างที่แฟนๆ G-Shock เคยสัมผัสมาก่อนมาใช้ในการผลิตนาฬิกา และไม่ใช่ G-Steel ที่กำลังทำตลาดอยู่ ดังนั้น วินาทีนั้นหลายคนเริ่มงงและมองหาคำตอบว่ามันจะเป็นอะไร ? และคำตอบคือ เจ้า GMW-B5000 นี่เอง เรียกว่าเป็น Big Surprise อย่างมาก เพราะในตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าน่าจะเป็นโมเดลรูปแบบใหม่

2.ย้อนยุคแต่ไม่ตกยุค : ต้องยอมรับว่าใครที่สะสม G-Shock แล้วไม่เคยผ่านนาฬิกาในซีรีส์ 5000 โดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ อย่าง 5600 ถือว่ายังไม่ใช่แฟนตัวจริง เพราะซีรีส์นี้คือต้นแบบของการก่อกำเนิดซับแบรนด์อย่าง G-Shock เมื่อปี 1983 กับรุ่น DW5000 ซึ่ง GMW-B5000 ถือว่าเป็นทายาทสายตรงของนาฬิการุ่นนี้ แต่มีการปรับปรุงหน้าตาให้ดูสดใหม่ขึ้นตามยุคสมัย ส่วนรูปทรงสี่เหลี่ยมก็มากับตัวเรือนที่ผลิตจาก Stainless Steel ทั้งตัวเรือนและสาย ตรงนี้ยิ่งทำให้มันมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง

3.นวัตกรรมโครงสร้าง : สิ่งหนึ่งที่ฝังหัวผมมาตลอดคือ นาฬิกา G-Shock คือ ความอึด ความทนทาน  ซึ่งในกรณีที่คุณใช้เรซินเป็นวัสดุหลักในการผลิตตัวเรือน ผมว่ามันคงมีความสามารถในการดูดซับหรือกระจายแรงกระแทกได้ดี แต่กับเจ้า GMW-B5000 มันเป็นเวอร์ชันโลหะล้วนของรุ่นพื้นฐาน DW-5000 ซึ่งแสดงให้เห็นการปรับแต่งโครงสร้างตัวเรือนแบบกลวงเพื่อให้สามารถทนทานต่อแรงกระแทกได้ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ในเอกสารของ Casio ระบุว่าภายในตัวนาฬิกาจะมีตัวรับแรงกระแทกทำจากเรซินชั้นดีที่อยู่ระหว่างกรอบโลหะโครงสร้างกันแรงกระแทกและตัวเรือนเป็นตัวทำให้เกิดโครงสร้างทนทานต่อแรงกระแทกให้กับตัวเรือนโลหะทั้งหมด และฝาหลังตัวเรือนแบบขันเกลียวแตกต่างจาก G-Shock รุ่นปกติ

4.โมดุลใหม่ : ในซีรีส์ GMW-B5000 มากับโมดุลใหม่ในรหัส 3459 ซึ่งถูกพัฒนาเพื่อสอดคล้องกับแนวคิด Casio Connected แต่ยังไม่ถึงขนาด 3-Way แค่ 2-Way เท่านั้น คือ การใช้ระบบปรับเวลาด้วยสัญญาณวิทยุอย่าง Multiband6 ในการปรับละเอียดของหน่วยวินาที และอีกอันชื่อการใช้ Bluetooth เพื่อเชือมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านทาง Application อย่าง Casio  Connected และเป็นการเชื่อมต่อเข้ากับ Internet Server ผ่านทาง Mobile Data ทำให้สามารถปรับเวลาให้เที่ยงตรงตามเวลาของ Server นั่นเท่ากับว่าแค่ 2 ระบบนี้ ตัวเชื่อมต่อเวลาที่ 3 คือ GPS ก็แทบจะไม่จำเป็นแล้ว พร้อมกับระบบ Tough Solar ในการชาร์จไฟฟ้าผ่านทางพลังแสงอาทิตย์เข้าสู่แบตเตอรี่ในตัวโมดุล เพียงแต่ฟังก์ชั่นพื้นฐานในการใช้งานไม่เยอะ และเหมือนกับนาฬิกาทั่วๆ ไปของ Casio เท่านั้นเอง ส่วนภาษาที่ใช้ในการแสดงคำย่อของวัน หรือ Day นั้นมีให้เลือก 6 ภาษา คือ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส รัสเซีย อิตาลี และสเปน น่าเสียดายไม่มีไทย

5.ขนาดพอเหมาะ : สำหรับคนที่มีขนาดข้อมือไม่ใหญ่จนเกินไป ไม่เกิน 6.5 นิ้วถือว่าลงตัวเลยกับไซส์ของ GMW-B5000 เพราะตัวเรือนมีความกว้าง 43.2 มิลลิเมตร Lug-to-Lug 49.3 มิลลิเมตร ถือว่าไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป และเป็นไซส์ใกล้เคียงกับเพื่อนร่วมซีรีส์อย่าง DW5600 ซึ่งตัว GMW-B5000 ใหญ่และหนากว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง ส่วนใครที่ห่วงเรื่องน้ำหนักก็ไม่ต้องกังวลมาก แม้ว่าตัวเรือนของ GMW-B5000 จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 167 กรัมหรือหนักกว่า DW5600 ร่วมๆ 1 ขีด แต่ก็ไม่ถือว่ามากจนกระทั่งสร้างภาระให้กับข้อมือของคุณ