Casio G-Shock GA-110 Series การเดินทางสู่ความสำเร็จ

0

เราไม่ปฏิเสธถึงความแรงและการได้รับความนิยมของ Casio G-Shock ในตระกูล GA-110 ที่เปิดตัวในปี 2010 และนั่นได้นำ G-Shock ไปสู่ศักราชใหม่ในการเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี จนสามารถขยายฐานออกมาได้อย่างมากมาย

Casio G-Shock GA-110 Series
Casio G-Shock GA-110 Series

Casio G-Shock GA-110 Series การเดินทางสู่ความสำเร็จ

  • ตอนที่ Casio เปิดเผยนาฬิกาที่เป็นกำลังหลักในการสร้างยอดขายให้กับพวกเขา
  • จนทำให้ยอดขายทั่วโลกนับจากปี 1983 พุ่งทยานขึ้นมาแตะ 100 ล้านเรือนได้ภายในเดือนกันยายน 2017
  • หรือเกือบ 2 ปีก่อนที่จะถึงวาระการฉลองครบรอบ 35 ปีของ G-Shock นั้น
  • เราไม่ลังเลใจเลยว่าคำตอบจะเป็น GA-110 Series เพราะถ้าลองไล่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 9 ปีที่ผ่านมานั้น
  • เราจะพบว่า Community ของ G-Shock มีการขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในช่วงหลังการเปิดตัวของ GA-110/GA-100 Series ในปี 2010
- Advertisement -

อันนี้ไม่ได้มโนเอาเอง แต่ดูจากกราฟที่ Casio นำออกมาเปิดเผยเราจะเห็นว่าพวกเขาใช้เวลาถึง 14 ปีในการสร้างยอดขาย 10 ล้านเรือนแรก และ 13 ปีในการสร้างยอดขายอีก 40 ล้านเพื่อให้ครบ 50 ล้านเรือน แต่หลังจากปี 2010 เป็นต้นมา พวกเขาใช้เวลาเพียง 9 ปีเท่านั้นในการสร้างยอดขายครบ 100 ล้านเรือน หรือบวกเพิ่มเข้าไปอีก 50 ล้านเรือน ซึ่งช่วงหลังจากปี 2010 คือ ช่วงเวลาที่ Casio เปิดตัว GA-110 ออกสู่ตลาด ควบคู่กับแฝดพี่อย่าง GA-100 ที่ในตอนแรกทำท่าว่าจะแป๊ก เพราะสีสันและดีไซน์ที่ไม่สวยและลงตัวเท่า

นอกจากนั้น ถ้าดูถึงสัดส่วนของตลาด G-Shock แล้วเราจะพบว่า ยอดขายในตลาดต่างประเทศนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษล่าสุด

Casio G-Shock GA-110 Series
Casio G-Shock ในตระกูล GA-110 ที่เปิดตัวในปี 2010

แต่ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า Casio จะไม่จับเอาชื่อของ GA-110 มาใส่ใน Milestone ในด้านการพัฒนาของตัวเองเลย เพราะในปี 2010 พวกเขาพูดถึงเฉพาะนาฬิกาอย่าง GW-3000 หรือที่ขายในบ้านเราด้วยชื่อ G-1200 ว่าเป็นการพัฒนาสำคัญในแง่ของเทคโนโลยีด้านนาฬิกานักบินที่ทนต่อแรง G หรือ Tough Movement ทั้งที่ GA-110 Series คือ ตัวจักรในการขับเคลื่อนหลักของการสร้างยอดขาย

Casio เปิดตัว GA-110 ออกสู่ตลาดในเดือนมีนาคม 2010 ด้วยแนวคิดของการสร้างสรรค์ความถึกที่ผสมผสานออกมาเป็น Fashion Design และไม่น่าเชื่อเหมือนกันที่ความนิยมของมันทำให้เกิดความของขาดตลาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้วย Hyper Color และ Crazy Color สีส้มและสีเหลืองในรหัส GA-110A-4DR และ GA-110A-9DR ขณะที่ 5 รุ่นที่เหลือนั้น พวกสีแสบๆ ล้วนๆ อย่าง GA-110B-2DR สีฟ้า, GA-110B-3DR สีเขียว และ GA-110B-4DR สีชมพู ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ยกเว้น 2 รุ่นคือ GA-110B-1A2DR และ GA-110B-1A3DR ที่ยอดขายไม่พุ่งเท่าไร

ส่วนอีกรุ่นคือ Man Box หรือ GA-110F-2DR ที่ในตอนแรกทำท่าว่าจะไปได้ไม่สวยเท่าไร กลับกลายเป็นว่าฮิตระเบิดชนิดของขาดตลาด และทำให้ราคาพุ่งทะยานขึ้นแตะหลักหลายหมื่นบาทอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ราคาป้ายตอนเปิดตัวนั้นอยู่ในระดับครึ่งหมื่นเท่านั้นเอง

Casio G-Shock GA-110 Series
Casio G-Shock ในตระกูล GA-110 ที่เปิดตัวในปี 2010

ถ้าจะให้วิเคราะห์ถึงความสำเร็จในช่วงนั้นของ GA-110 Series ประเด็นในเรื่องความ ‘โดน’ ของตัวผลิตภัณฑ์นั้นถือว่ามีส่วนสำคัญที่สุด เพราะถ้าดูจากภาพรวมที่เกิดขึ้นกับนาฬิกาที่ Casio เปิดตัวออกมาในช่วงนั้น แม้ว่าหลายรุ่นที่พวกเขาพยายามจะเปลี่ยนจากความบึกถึกของ G-Shock ที่เน้นฟังก์ชั่นในการใช้งาน มาสู่นาฬิกาที่ทุกคนสามารถสวมใส่ได้ แต่ก็ยังไม่มีรุ่นไหนที่โดนใจตลาดเลย จนกระทั่งการมาถึงของ GA-110 Series นี่แหละ

ประกอบกับการเติบโตของ Community และการเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วของเครื่องมือหลักของ Facebook ทำให้การเข้าถึงของกลุ่มคนและการแพร่กระจายความฮิตที่มีต่อตัวนาฬิกานั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้ายังจำกันได้ว่าในบ้านเราช่วงนั้น คนรัก Casio G-Shock ส่วนใหญ่จะฝังตัวอยู่ในเว็บบอร์ดของ www.watch2hand.com ก่อนที่จะการรุกรานของ Facebook จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อมา และทำให้เกิดกลุ่ม Community ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนมีส่วนในการขับเคลื่อนให้เกิดการทำยอดขายให้กับ G-Shock และถามได้เลยว่าแต่ละคนที่ผ่านการเล่น G-Shock มานั้นจะต้องมี GA-110 Series ติดอยู่ในกรุ แม้แต่คนที่บ้า Master of G มากกว่าอย่างผมก็ยังเคยมี GA-110 Series มาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 เรือน

อีกทั้งในบ้านเรา ช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 และโรงงานของ Casio ที่อยุธยาได้รับผลกระทบนั้น เกิดเหตุการณ์อะไหล่ของรุ่นต่างๆ หลุดออกมาขายในตลาดภายนอกเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับนาฬิกาจมน้ำแบบมาทั้งเรือน ที่เรียกกันติดปากว่า ‘น้องน้ำ’ ทำให้เกิดการ Customized อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเกิดขึ้น และ GA-110 ก็ถูกจับเอามาโมดิฟาย แต่งหน้าทาปากใหม่ ชนิดหลายเรือนสวยขึ้นอย่างมาก

เอาเข้าจริงๆ GA-110 Series เป็นนาฬิกาที่มีจุดเด่นในเชิงเมคานิกในตัวของมันเองเหมือนกัน

ทั้งความสามารถในการป้องกันสนามแม่เหล็ก หรือ Magnetic Field ที่จะทำอันตรายให้กับการทำงานของตัวนาฬิกา ตามมาตรฐาน ISO764 รวมถึงฟังก์ชั่นในการจับเวลาที่สามารถจับได้ละเอียดถึง 1/1,000 วินาที ขณะที่นาฬิกา G-Shock ส่วนใหญ่จะจับได้เพียง 1/100 วินาทีเท่านั้น สามารถจับเวลาต่อรอบ จับเวลาแยก หรือแม้แต่นำมาคำนวนความเร็วก็ได้ เรียกว่าเป็นฟังก์ชั่นที่เกิดขึ้นสำหรับการใช้จับเวลาในการแข่งขันอย่างแท้จริง

แต่เชื่อเถอะว่า คนที่ชอบส่วนใหญ่แทบไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย นอกจากหน้าตาแบบ Analogue-Digital ที่สวยและโดนใจของมัน และถือเป็น G-Shock แบบ Oversize เรือนแรกๆ เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าไม่นับ Frogman แล้ว ขนาดตัวเรือนของ Casio ที่มีอยู่ในตลาดมักจะอยู่ราวๆ 40 ปลายๆ จนถึง 50 มิลลิเมตร แต่สำหรับ GA-110 มากับขนาดตัวเรือนถึง 51.2 มิลลิเมตร และ Lug to Lug 55.0 มิลลิเมตรเลยทีเดียว

นอกจากนั้นในช่วงนั้น ถือว่า Casio มีแนวทางการตลาดที่ชัดเจน โดยเฉพาะการจัดงานที่เชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า รวมถึงการนำสินค้าไป Tie-in และการส่งเสริมภาพลักษณ์กับกลุ่มลูกค้าพวก Street Fashion รวมถึงการส่ง GA-110 ไปจับมือกับแบรนด์และสินค้าหลายๆ อย่างในการเปิดตัวเวอร์ชันสุดสวยของพวกเขาออกมา เช่น Dee&Ricky The Bathing Ape Maharishi New Era Eric Haze หรือแม้แต่ Evangelion ที่ทั้งหมดขึ้นหิ้งเป็น Rare Item ของ GA-110 Series ไปแล้ว

            นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นเบื้องหลังแห่งความสำเร็จในด้านยอดขายของ Casio และแม้ว่าพวกเขาจะไม่เปิดเผยตัวเลขออกมาว่า GA-110 Series ถูกขายไปเท่าไร แต่นี่คือ The Fastest Growing G-Shock Model เพราะแค่ 9 ปีที่อยู่ในตลาดก็ช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

Casio G-Shock GA-110 Series Casio G-Shock GA-110 Series
Casio G-Shock GA-110 Series Casio G-Shock GA-110 Series

Casio G-Shock GA-110 Series