ในปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของแบรนด์ โอริส (Oris) อาจจะแข็งแกร่งอยู่กับนาฬิกาดำน้ำที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันมานานด้วยคุณภาพที่คุ้มกับราคา แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นรากฐานและสร้างแบรนด์ให้คงอยู่อย่างต่อเนื่องคือนาฬิกานักบินที่ชื่อว่า Oris Big Crown Pointer Date ซึ่งชื่อรุ่น (Nameplate) นี้อยู่ในตลาดมานานกว่า 80 ปีแล้ว
Oris Big Crown Pointer Date กว่า 80 ปีบนเส้นทางแห่งความสำเร็จ
-
นาฬิกานักบินถือเป็นนาฬิกาแบบแรกๆ ที่ Oris มีส่วนในการพัฒนานับจากการก่อตั้งแบรนด์ในปี 1904 โดยช่วงแรกยังเป็นนาฬิกาพก
-
Big Brown Pointer Dateเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1938 โดยมีเป้าหมายในการผลิตนาฬิกาข้อมือสำหรับนักบิน และสำหรับคนทั่วไป โดยเน้นที่คุณภาพที่คุ้มค่าราคา ใช้งานง่าย และเด่นที่เม็ดมะยมในแบบ Oversize ที่ Oris เรียกว่า Big Crown
-
ในปี 2018 พวกเขาฉลองครบรอบ 80 ปีของ Big Crown โดยนอกจากรุ่นธรรมดาที่มีการปรับปรุงให้ดูสวยและทันสมัยแล้วยังมีการเปิดตัวรุ่นพิเศษกับตัวเรือนบรอนซ์ออกสู่ตลาดอีกด้วย
ถ้าให้นึกถึงนาฬิกาที่เป็น Iconic ของ Oris เชื่อว่าคำตอบที่ได้อาจจะมีแตกต่างกันไประหว่างแฟนรุ่นใหม่กับรุ่นเก่า แต่ที่แน่ๆ เราเชื่อว่าคำตอบเกิน 70% จะต้องบ่งบอกไปที่นาฬิการุ่น Big Crown Pointer Dateที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1938 และพวกเขาเพิ่งจะฉลองครบรอบ 80 ปีไปเมื่อปีที่แล้ว และเดินหน้าสู่ทศวรรษใหม่ของนาฬิกานักบิน
จริงๆ แล้ว Oris กับการผลิตนาฬิกาสำหรับรองรับกับการใช้งานบนเครื่องบินนั้นถือกำเนิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1910 ซึ่งในตอนนั้นวงการบินยังเพิ่งเริ่มตั้งไข่ และอุปกรณ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้งานถือว่ามีความจำเป็นอย่างมาก แต่ทว่าในช่วงนั้น แม้ว่า Oris จะมีนาฬิกานักบิน แต่ก็เป็นนาฬิกาพก เพราะสมัยนั้น นาฬิกาข้อมือยังไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก แม้แต่นักบินเองก็ยังต้องใช้นาฬิกาพก สำหรับนาฬิกาพกของ Oris ที่ผลิตเพื่อนักบินนั้นจะมาพร้อมกับลวดลายที่สวยงาม โดยตรงฝามีการสลักรูปช่องแคบอังกฤษที่ Louis Bleriot นักบินชาวฝั่งเศสบินข้ามเป็นครั้งแรกในปี 1909
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ตามมาคือความยุ่งยากและวุ่นวายในการล่วงนาฬิกาพกออกจากกระเป๋า ซึ่งทำให้เสียเวลา และเสียสมาธิ แถมยังอันตรายอีกด้วย ประจวบเหมาะกับในช่วงปลายทศวรรษ นาฬิกาข้อมือเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น และตัวเลือกในการผลิตออกขายเริ่มมีมากขึ้น ดังนั้น การผลิตนาฬิกาข้อมือสำหรับนักบินจึงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด โดย Oris เปิดตัวนาฬิกาข้อมือสำหรับนักบินรุ่นแรกของตัวเองในปี 1917 และมาพร้อมกับอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในการปรับเวลา โดยตัวนาฬิกาจะสามารถปรับเวลาได้ก็ต่อเมื่อมีการกดปุ่มตรง 2 นาฬิกาเท่านั้น
ในปี 1938 ถือเป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ Oris เมื่อพวกเขาเปิดตัวนาฬิกานักบินที่ชื่อว่า Big Crown ออกมา โดยชื่อรุ่นก็มาจากลักษณะของเม็ดมะยมที่มีขนาดใหญ่ และออกบบมาเพื่อให้นักบินที่สวมถุงมือสามารถปรับเวลาได้อย่างสะดวกขึ้นโดยเฉพาะการปรับเวลาในระหว่างที่กำลังบินโดยที่ไม่ต้องถอดถุงมือออกมา และอีกสิ่งที่ถือว่าเป็นความซับซ้อนของการสร้างกลไกในยุคนั้นคือ ตัวนาฬิกาจะมากับเข็มที่เรียกว่า Pointer Calendar สำหรับชี้ไปที่วันที่ ซึ่งเป็นหมายเลขที่ถูกวางล้อมรอบหน้าปัด พร้อมกับเข็มวินาทีแยกหรือ Small Second โดยนาฬิการุ่นนี้ทำตลาดด้วยชื่อ Big Crown Pointer Date
อาจจะมองดูเหมือนว่าเป็นการผลิตมาเพื่อการใช้งานเฉพาะทาง แต่เบื้องหลังของการผลิต Big Crown Pointer Date ของ Oris นั้นคือ การผลิตนาฬิกาที่มีความสวยงาม มีคุณภาพสูง แต่มีราคาสมเหตุผลและจับต้องได้ มีความทนทานและง่ายต่อการใช้งานในทุกสภาพ และนั่นคือจุดกำเนิดของนาฬิกาที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 80 ปี โดยเฉพาะในแง่ของการออกแบบ
‘การออกแบบเป็นเรื่องที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สำหรับงานออกแบบของ Big Crown Pointer Dateไม่เปลี่ยนจากที่เคยเป็นและอยู่ท้าทายกาลเวลาเสมอมา นาฬิกาเรือนนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของ Oris ไปแล้ว และเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาและแบรนด์ว่ามีความแข็งแรงขนาดไหน’ ดร. Rolf Portmann ประธานกิตติมศักดิ์ของ Oris ให้ความเห็น
การผลิตนาฬิการุ่น Big Crown Pointer Dateยังคงอยู่เรื่อยมาจนเข้าสู่ทศวรรษ 1960 เมื่อโอริสเติบโตจนกลายเป็นหนึ่งใน 10 แบรนด์นาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพนักงานถึง 800 คน และทำการผลิตนาฬิกาข้อมือ และนาฬิกาแขวนผนังถึง 1.2 ล้านเรือนต่อปี
ช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 เป็นยุคล่มสลายของอุตสาหกรรมนาฬิกา ซึ่งมีคนตกงานกว่า 60,000 คน และต้องปิดบริษัทไปถึง 1,000 แห่ง อันมีผลกระทบจากนาฬิการะบบควอทซ์ที่มีราคาถูกซึ่งได้เข้ามาแทนที่การผลิตนาฬิกาตามแบบดั้งเดิม Oris ก็ประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วยเช่นกัน แต่ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ก็เป็นช่วงแห่งการฟื้นตัว นาฬิการุ่น Big Crown Pointer Date ถือเป็นคอลเล็คชั่นหลักตลอดช่วงระยะเวลาที่เป็นรู้จักกันว่าเป็น Quartz Crisis ซึ่ง Oris ถือเป็นแบรนด์นาฬิกาอิสระเพียงไม่กี่แบรนด์ที่ไม่สนใจในการผลิตนาฬิกาควอตซ์ออกสู่ตลาดเพื่อประคองบริษัทเหมือนกับที่แบรนด์อื่นๆ ทำกัน และเมื่อ Oris ได้ค้นหานาฬิกาในบริษัทที่จะจุดประกายแห่งความสนใจขึ้นมาอีกครั้ง มันมีเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น คือ Big Crown Pointer Dateซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้ขับเคลื่อนบริษัทให้เดินหน้าต่อไปจนถึงปัจจุบัน
ในปัจจุบัน Big Crown Pointer Dateถือว่าเป็นคอลเล็กชั่นหลักของบริษัท และได้มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ล่าสุดออกมาในปี 2018 พร้อมกับการปรับปรุงหน้าตาให้ดูสวยทันสมัย แต่ก็ยังมีความคลาสสิคตามแบบฉบับของนาฬิกาในคอลเล็กชั่นนี้
โดยที่มี Lukas Bühlmann นักออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Oris รับหน้าที่ในการสร้างสรรค์ครั้งนี้
‘ผมมีความยินดีอย่างมากที่ได้เข้ามารับหน้าที่ในการออกแบบโฉมใหม่ของ Big Crown Pointer Dateเพราะนี่คือนาฬิกาที่มีเรื่องราวยาวนานรุ่นหนึ่งและถือเป็นโมเดลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ Oris ดังนั้น การปรับใหม่เพิ่มความสวยงามของนาฬิการุ่นนี้ถือเป็นการนำนาฬิกานักบินของบริษัทเข้าสู่ตำนานบทใหม่ในประวัติศาสตร์ของเรา’ Bühlmann กล่าว
ประเด็นที่น่าสนใจคือ Big Crown Pointer Dateมีข้อจำกัดในการออกแบบเพราะว่าเกือบทั้งเรือนเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่ง Bühlmann กล่าวว่าสิ่งที่เขาได้รับโจทย์มาคือการทำให้ตัวนาฬิกามีความทันสมัย โดยที่ไม่สูญเสีย DNA ที่สำคัญของตัวนาฬิกา ‘แน่นอนว่าเรามีการปรับรูปแบบนาฬิกาเล็กน้อย เช่นเดียวกับเม็ดมะยมที่มีรูปทรงใหม่ รวมถึงการทำให้นาฬิกามีความเบาขึ้น แต่เอกลักษณ์ดั้งเดิมของนาฬิกาก็ยังคงอยู่’
สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับ Big Crown Pointer Dateรุ่นใหม่คือ สีสันของหน้าปัดที่มีให้เลือกมากมาย โดย Bühlmann เล่าว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ Polychromie Architecturale ของ Le Corbusier ที่ผลิตในปี 1931 และมีการนำเสนอสีสันต่างๆ ออกมา ซึ่งเขาได้นำสิ่งเหล่านี้มาใช้กับ Big Crown Pointer Date รุ่นใหม่ และเมื่อถามถึงเรือนที่ถูกใจเขาที่สุด Bühlmann บอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเลือก แต่ถ้าต้องเลือกก็ขอเป็นตัวบรอนซ์ หน้าปัดสีเขียวซึ่งเป็นรุ่นฉลองครบรอบ 80 ปี
สำหรับ Big Crown Pointer Dateรุ่นใหม่มีทั้งหน้าปัดสีดำ สีฟ้า สีน้ำตาล สีแดง
โดยในรุ่นปกติจะมากับตัวเรือนสแตนเลสสตีลที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 36 และ 40 มิลลิเมตร พร้อมความกว้างขาสาย 20 มิลลิเมตร กระจก Sapphire ทรงโค้งแบบ Bubble-Curved โดยที่ยังคงเอกลักษณ์หลายจุดเอาไว้อย่างครบถ้วน เช่น ขอบตัวเรือนที่มีลายบากโดยรอบคล้ายกับใบพัดของเครื่องบินที่กำลังหมุน การแสดงวันที่หรือ Date ผ่านทางเข็ม Pointer Dateชุดเข็มทรง Cathedral โดยชุดสายมีให้เลือกทั้งสายหนังและสาย Stainless Steel โดยกลไกที่ใช้เป็นรหัส Oris 754 ที่มีพื้นฐานมาจาก Selitta SW200-1 ขึ้นลานมือได้ และสามารถ Hack เข็มวินาทีโดยที่มีการสำรองพลังงานในระดับ 38 ชั่วโมง
นอกจากนั้น Oris ได้เฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 80 ปีของคอลเล็กชั่น Big Crown Pointer Dateและพวกเขาได้เปิดตัวรุ่นฉลอง 80 ปีออกสู่ตลาดกับตัวเรือนบรอนซ์ที่มีขนาดตัวเรือน 36 และ 40 มิลลิเมตร และ Ref. 01 754 7741 3167-07 5 20 58BR สิ่งที่น่าสนใจคือ หน้าปัดสีเขียวอ่อนที่ถูกออกแบบอย่างลงตัว สอดรับกับชุดเข็มสีทอง และสายหนังสีน้ำตาลขนาด 20/16 มิลลเมตรพร้อมบัคเคิลบรอนซ์ และสามารถกันน้ำในระดับ 5 บาร์ หรือ 50 เมตร
ต้องยอมรับว่านับจากการก่อตั้งแบรนด์ในปี 1904 ระยะเวลา 115 ปี Oris ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและมีการสร้างนวัตกรรมต่างๆ มากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็น Iconic และภาพลักษณ์จนเปรียบเสมือนกับตัวแทนของแบรนด์เลยคือ นาฬิการุ่น Big Crown Pointer Dateที่คงอยู่คู่กับตลาดมานานถึง 80 ปี
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/