Casio G-Shock GR-B100WLP ที่โดนเลือกก็เพราะความพิเศษ

0

คอลเล็กชั่นใหม่จาก Gravitymaster ที่เพียบด้วยฟังก์ชั่นสำหรับนักบิน แต่สำหรับคนเดินดินอย่างเราละ ? งานนี้ต้องบอกเลยว่า เป็นอีกครั้งที่ Passion ต้องออกมานำหน้าและช่วยในการตัดสินใจอีกครั้ง

ตัวนาฬิกาใช้พื้นฐานของรุ่น มาปรับสีสันใหม่

Casio G-Shock GR-B100WLP ที่โดนเลือกก็เพราะความพิเศษ

  • รุ่นพิเศษจากคอลเล็กชั่น Love The Sea And The Earth 2019

  • ตัวนาฬิกาใช้พื้นฐานของรุ่น GR-B100 Gravitymaster มาปรับสีสันใหม่

  • มาพร้อมแพ็คเกจพิเศษและราคาป้ายในบ้านเรากว่า 13,000 บาท

- Advertisement -

เพื่อนๆ เคยไหมครับที่ต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และจำเป็นต้องเลือกอะไรโดยมีเหตุผลอื่นที่สามารถเอาชนะความชอบของตัวเองไปได้ สารภาพตรงๆ เลยครับว่า ผมเกิดอาการนี้ตอนที่ยืนอยู่หน้าตู้กระจกของ Casio G-Shock พร้อมอาการลังเลแบบสุดๆ ว่าจะเลือกรุ่นธรรมดาอย่าง GR-B100-1A3DR หรือว่าจะไปตัวพิเศษที่ผลิตออกมาสำหรับโปรเจ็กต์สำหรับองค์กรอย่าง Wildlife Promising อย่าง Casio G-Shock GR-B100WLP ในคอลเล็กชั่น Love The Sea And The Earth 2019 ดี

เหตุผลหนะหรือ ?

เอาจริงๆ ผมชอบตัวธรรมดาของคอลเล็กชั่น Gravitymaster รุ่นนี้ของ G-Shock อย่างมาก แต่ราคาป้ายก็เปิดมาในระดับ 12,000 บาทนิดๆ ส่วนรุ่นพิเศษที่เพิ่งออกมาร่วมกับ Mudmaster รุ่นเล็ก Rangeman และ Baby-G นั้น ดูในตอนแรกก็สวยดีหรอก แต่พอผ่านตาไปนานๆ แล้วเริ่มมีอาการเฉยๆ แต่ราคาก็ดันเบียดกัน เรียกว่าหลังจากได้รับส่วนลดจากพนักงานขายแล้ว ส่วนต่างราวๆ 500 กว่าบาท

ตัดสินใจยากชะมัด แต่ผมก็ผ่านจุดนั้นมาเรียบร้อยแล้ว และ Review เรื่องนี้คือหลักฐานว่ารุ่นไหนคือ ผู้ชนะในศึกครั้งนี้

สุดท้ายผมเลือกเจ้า Casio G-Shock GR-B100WLP ด้วยเหตุผลเดียวคือ ความพิเศษของมัน เพราะในแง่ของส่วนต่างของราคาหลังหักส่วนลดแค่หลักครึ่งพันกับการได้ความพิเศษกลับมาทั้งตัวนาฬิกา และแพ็กเกจ มั่นย่อมทำให้ผมสามารถเปลี่ยนใจได้ไม่ยาก เพราะดูแล้วยังไงรุ่นพิเศษก็มีความคุ้มค่ากว่าภายใต้เงื่อนไขที่บอกไปข้างต้น

ส่วนเรื่องของการให้สีสันบนตัวเรือนนั้น ผมค่อนข้างชื่นชมอย่างมากกับการจับเอาสีสันของนกอินทรีสายพันธุ์ African Fish Eagle มาเป็นต้นแบบในการประยุกต์ใช้ ซึ่งนกอินทรีสายพันธุ์นี้กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และทำให้ Wildlife Promising ต้องเข้ามาช่วยดูและและจัดแคมเปญในการตระหนักถึงความเสี่ยงครั้งนี้ แต่หลังจากผ่านการพิจารณามาสักพัก ผมกลับเฉยๆ นะกับสีสันที่ตัดกันระหว่างกรอบตัวเรือนสีขาว และตัวสายสีน้ำตาลเข้มและด้านในของสายเป็นสีดำ โดยที่มีสีเหลืองเข้ามาแซมในส่วนของปุ่มกดไฟ และสีสันของเข็มนาที-ชั่วโมง..มันไม่ได้ทำให้เกิดอาการ ‘ว้าว’ เหมือนกับตอนแรกที่ได้เห็น

กลับมาที่เรื่องของตัวนาฬิกากันก่อน สำหรับเวอร์ชัน Gravitymaster ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2018 นั้น ถือเป็นการนำนวัตกรรมการเชื่อมต่อผ่านทาง Bluetooth หรือ Casio Connected มาใช้กับนาฬิกานักบินรุ่นราคารองๆ เป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านั้นมีแต่รุ่นใหญ่อย่าง GPW-2000 และแน่นอนว่าทั้ง 2 รุ่นนี้เปิดตัวออกมาพร้อมกับอาการแป๊กในด้านยอดขายสำหรับตลาดเมืองไทย…ดูได้จากตรงไหนหรือในการวัด ?

อย่างแรก ผมไม่เคยเห็นเพื่อนๆ ในกลุ่ม FB ที่ผมเข้าไปสิงสถิตย์อยู่นั้น ใส่โชว์กันเลย ทั้ง GPW-2000 และ GR-B100 อย่างที่ 2 รุ่นท็อปอย่าง GWP-2000 ดันมาอยู่ในโปรโมชั่นลดราคา 30% อยู่เป็นประจำ ขณะที่ GR-B100 ที่ผมเห็นอยู่ในตู้ของร้านที่ซื้อประจำก็ยังคาอยู่ยังไงยั้งงั้นเสมอมา และแม้แต่ตัวพิเศษอย่าง GR-B100WLP ก็ยังเหลือคาอยู่เลยทั้งที่ด้วยความพิเศษในการเป็นคอลเล็กชั่น Love The Sea And The Earth 2019 ผมว่ามันน่าจะทำให้คนตัดสินใจซื้อกันง่ายขึ้นนะ นอกจากนั้นการเห็นคนประกาศขายเป็นของมือสองหรือพ่อค้าที่หิ้วมาขายเป็นมือ 1 ก็ไม่มีให้เห็นกันเลย มันก็เลยเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะไม่ฮ็อตและฮิตอย่างที่คิด

แต่สำหรับผมนะ นี่คือนาฬิกาที่ Casio ออกแบบได้สวยที่สุดรุ่นหนึ่งของปีที่แล้วเลย (แต่ได้โปรดอย่าเอารสนิยมผมเป็นบรรทัดฐานในการวัดนะครับ เพราะนี่คือความชอบส่วนตัวจริงๆ) โดยเฉพาะเลย์เอาท์ของหน้าปัด ที่มีการนำหน้าจอดิจิตอลมาวางเอาไว้ด้านบน ซึ่งผมคิดว่าเป็นดีไซน์ที่แปลกและลงตัวกว่าการวางอยู่ด้านล่างเหมือนกับ Casio ทำอยู่เสมอๆ แต่ก็น่าแปลกเหมือนกันนะครับที่อะไรที่ผมชอบและการนำหน้าตอดิจอตอลมาวางอยู่ด้านบน มักจะขายไม่ออกเสมอ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้า GWN-Q1000 นั่นก็ทีนึงละ

รูปทรงโดยรวมของ Casio G-Shock GR-B100WLP มีส่วนคล้ายกับนาฬิกานักบินรุ่นเก่าที่เปิดตัวสมัยทศวรรษที่ 2000 ก่อนที่จะมีตระกูล Gravitymaster อย่างพวก Giez ตัวเรือนส่วนที่เห็นโลหะจะถูกหุ้มด้วยกรอบที่เป็นเรซิน และในตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกาจะถูกออกแบบให้กางออกทางด้านข้าง ซึ่งในตอนแรกที่ดูจากขนาดจากหน้าเว็บของ Casio แล้ว ผมออกจะหนาวๆ กับตัวเลขที่โชว์ออกมา อย่างเส้นผ่านศูนย์กลาง 53.8 มิลลิเมตร และ Lug-to-Lug 62.5 มิลลิเมตร ซึ่งดูแล้วมีโอกาสกางค่อนข้างสูงมาก เพราะปกติแล้วถ้าไม่ใช่ Frogman แล้ว ผมจะใส่ G-Shock ที่มีค่านี้ไม่เกิน 60 มิลลิเมตร แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ เรียกว่าเต็มข้อมือ 7 นิ้วของผมพอดี

นอกจากเลย์เอาท์หน้าของหน้าปัดแล้ว อีกสิ่งที่ผมค่อนข้างชอบจากนาฬิกาตระกูล GR-B100 คือ ความไม่รกบนหน้าปัด และดูเหมือนว่า Casio จะไม่พยายามยัดอะไรต่อมิอะไรลงไปทั้งบนหน้าปัดและขอบตัวเรือนเหมือนกับที่ผ่านๆ มา สิ่งที่อยู่ข้างบนมีแค่หน้าปัดดิจิตอลในตำแหน่ง 12 นาฬิกา ชุดเข็มแสดงเวลาหลัก และหน้าปัดย่อยในตำแหน่ง 6 นาฬิกาสำหรับแสดงการเลือก Mode ของคุณ และจะเป็น Tough Solar Power Indicator เมื่ออยู่ในโหมดแสดงเวลาปกติ ซึ่งถ้าคุณใช้นาฬิกา G-Shock แบบเข็ม โดยเฉพาะพวกตระกูล Gravitymaster แล้ว ก็น่าจะคุ้นเคยกับการทำงานของชุดหน้าปัดย่อยอันนี้

การจัดวางปุ่มควบคุมต่างๆ ก็เหมือนกับนาฬิกา G-Shock ทั่วไป คือ ตำแหน่ง 4 มุมบนตัวเรือน แต่จะมีเพิ่มตำแหน่ง 9 นาฬิกาสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน ซึ่งเมื่อคุณดาวน์โหลดและติดตั้งแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า G-Shock Connected ลงในสมาร์ทโฟนและเปิดการใช้งานแล้วในระบบจะแจ้งให้คุณกดปุ่มนี้ค้างเอาไว้ประมาณ 2 วินาทีเพื่อให้นาฬิกาเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นทางบลูทูธ

ส่วนการที่จะรู้ได้ว่าตัวนาฬิกาและแอพพลิเคชั่นกำลังอยู่ในขั้นตอนไหนในการเชื่อมต่อก็ดูจากตัวนาฬิกาได้เลย ซึ่งเมื่อกดค้างเอาไว้ เข็มวินาทีจะวิ่งไปที่ตำแหน่ง R (ประมาณ 5 นาฬิกาบนหน้าปัด) และค้างไว้จนกระทั่งการเชื่อมต่อสมบูรณ์ เข็มวินาทีจะเคลื่อนไปที่สัญลักษณ์ของบลูทูธ แล้วค่อยกลับไปเดินตามปกติ ซึ่งตรงนี้คุณดูได้จากบนหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองก็ได้ว่า แอพพลิเคชั่นกับนาฬิกาเชื่อมต่อกันเรียบร้อยแล้วหรือยัง

ส่วนฟังก์ชั่นนั้นเอาไปทำอะไรได้บ้าง ?

บอกเลยว่าแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับมนุษย์เงินเดือน และผมคิดว่าทาง Casio เองก็คงจะเห็นว่าฟังก์ชั่น Flight Log ที่คิดค้นมานั้น เจ๋งก็จริง แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักบินนั้น แทบหมดประโยชน์ ดังนั้น คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือ แล้วจะจ่ายแพงเพื่อเอาไปทำอะไร ? นั่นก็เลยเป็นที่มาของการทำคลิปเพื่อบอกว่าประโยชน์ของฟังก์ชั่น Flight Log มันก็ยังมีนะสำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะในการระบุพิกัดของสถานที่สำคัญที่คุณได้ไปเยือน แล้วกลัวจะลืมว่ามันอยู่ตรงไหน รวมถึงการระบุพิกัดในการเดินทางภาคพื้นดินของตัวเองเพื่อทำเป็น Route Map ของการเดินทางนั้นๆ ก็ได้

แต่ส่วนตัวผมไม่ได้อินอะไรกับตรงนี้มากมาย ดังนั้นเหตุผลของการควักเงินซื้อนั้นมีอย่างเดียวเลยคือ ‘ชอบ’ กับอีกเรื่องหนึ่งคือ G-Shock Connected ช่วยทำให้ไม่ต้องวุ่นวายในการปรับเวลา เมือต้องเดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง เพราะแค่ Sync กับสมาร์ทโฟน ก็สามารถปรับจากเวลาตรงนั้นได้เลย โดยคุณสามารถเลือกสลับระหว่าง World Time (ที่เลือกเมืองเอาไว้แล้ว) กับ Home Time ได้ โดยไม่ต้องมานั่งเสียเวลาปรับเข็มหรือกดปุ่ม Adjust เพื่อเปลี่ยนเวลาให้วุ่นวายเหมือนก่อน

GR-B100 เหมือนกับนาฬิกา G-Shock หลายรุ่นของ Casio ที่เกิดมาเพื่อการใช้งานเฉพาะกลุ่ม และมีฟังก์ชั่นเจ๋งๆ ที่มนุษย์เงินเดือนอาจจะเข้าไม่ถึง แต่ถ้าต้องการให้แจ้งเกิดและมียอดขายที่ขยับตาม คุณก็ต้องหาวิธีเข้าถึงกลุ่มมนุษย์เงินเดือนพวกนี้แหละด้วยความสมเหตุสมผลในด้านราคา หรือไม่ก็ต้องทำให้เกิดความรู้สึกว่าพิเศษเหมือนกับที่ Frogman และ Mudmaster ทำได้ จนคนทั่วไปอยากจ่ายเงินแบบไม่ลังเลใจ

ส่วนตัวผมว่า ตรงนี้แหละที่ทำให้ GR-B100 สอบไม่ผ่านในด้านความนิยมในเมืองไทย เพราะกับค่าตัวในระดับ 12,000 บาทสำหรับรุ่นธรรมดา และ 13,000 บาทสำหรับรุ่นพิเศษ Casio G-Shock GR-B100WLP ลูกค้าทั่วไปต้องจ่ายเงินระดับนี้เพื่อแลกกับนาฬิกาที่เพียบด้วยฟังก์ชั่น แต่ทำได้แค่ดูเวลาเท่านั้น ดูยังไงก็ไม่คุ้ม

แต่ถ้าไม่สนใจเรื่องที่ผมบ่นให้ฟังข้างบน ก็จัดได้เลย เพราะส่วนตัวผมว่าเป็นคอลเล็กชั่นหนึ่งที่สวยและลงตัวเลยทีเดียว

ข้อมูลทางเทคนิค : Casio G-ShockGR-B100WLP

  • เส้นผ่านศูนย์กลาง : 53.8 มิลลิเมตร
  • Lug to Lug : 62.5 มิลลิเมตร
  • ความหนา : 17.3 มิลลิเมตร
  • กระจก : Mineral
  • วัสดุตัวเรือนและสาย : เรซิน
  • น้ำหนัก : 87 กรัม
  • ระบบพลังงาน : Tough Solar ชาร์จด้วยพลังแสงอาทิตย์
  • Module : 5536
  • ฟังก์ชั่น : Flight Log ปรับเวลาข้ามเขตเวลา และการเชื่อมต่อกับ Smartphone ผ่านทาง Bluetooth
  • ระดับการกันน้ำ : 200 เมตร
  • ประทับใจ : การออกแบบ และฟังก์ชั่น
  • ไม่ประทับใจ : ราคา และความคุ้มค่าสำหรับคนทั่วไป