กบใหม่กลับสู่ตลาดแบบไม่ธรรมดา เพราะมากับมาตรวัดระดับความลึก ซึ่งทำให้มันมีความสามารถเพิ่มขึ้น แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนทั่วไปที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มกับฟังก์ชั่นที่พวกเขายังไม่รู้เลยว่าจะได้ใช้หรือไม่
Casio G-Shock Frogman GWF-D1000NV-2DR : ไม่ใช่แค่ Passion ต้องข้อมือใหญ่ด้วย
จริงอยู่ที่ว่า Frogman หนึ่งในนาฬิกาตระกูล Master of G ของ Casio G-Shock อาจจะไม่ใช่นาฬิการุ่นแรกที่ผมซื้อนับตั้งแต่สวมนาฬิกาบนข้อมือ แต่ก็ถือว่าเป็นรุ่นแรกที่ทำให้ผมตกเข้าสู่วังวนของการเป็นทาสเวลาอย่างถอนตัวไม่ขึ้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และแม้ว่าในปัจจุบัน กรุของผมจะไม่มี Frogman เหลืออยู่แล้วจากเดิมที่มีร่วม 15 เรือน แต่ผมก็ตื่นเต้นเสมอเมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนาฬิกาตระกูลนี้ โดยเฉพาะรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่อย่าง Depth Meter ในรหัส GWF-D1000 ที่เปิดตัวให้เห็นที่งานในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 2016 และก็อีกเช่นเคยผมต้องใช้เวลาร่วม 1 ปีกว่าที่จะได้เป็นเจ้าของมัน
GWF-D1000 คือ รหัสรุ่น ซึ่งตัว D ที่เพิ่มขึ้นมาก็พอเข้าใจได้ว่าเพื่อทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างรุ่นหลักอย่าง GWF/GW1000 ที่ยังมีวางขายอยู่นับจากปี 2009 กับรุ่นนี้ที่มีการเพิ่มฟังก์ชั่น Depth Meter เข้ามา ถามว่าตื่นเต้นไหม สารภาพเลยว่าเฉยๆ เพราะนาฬิกาตระกูล Aqualand ของ Citizen Promaster ก็มีอยู่นานแล้ว แต่ที่ทำให้ Frogman น่าสนใจกว่า ก็คงเห็นจะเป็นเรื่องของฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับทั้งการดำน้ำ และการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป ที่มีมากกว่า เรียกว่า ใส่เล่นก็ได้ ใส่ลงน้ำก็ดี
ตามเอกสารข่าวของ Casio บอกว่านี่คือการยกระดับให้กับนาฬิกาตระกูลกบของพวกเขา ซึ่งก็คงจะจริง เพราะถือเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมกับ Depth Meter หลังจากที่ GWF1000 เป็นกบรุ่นแรกที่มี Multiband โดยนอกจากฟังก์ชั่นของการวัดความลึกแล้ว Frogman ใหม่นี้ยังทำอะไรได้อีกหลายอย่างภายใต้ Triple Sensor เหมือนกับพวก Protrek แต่เป็นฟังก์ชั่นที่แตกต่างออกไป เพราะเป็นการความลึก อุณหภูมิ และเข็มทิศ
ในตอนแรกของการทำตลาด Casio เปิดตัว Frogman แบบมี Depth Meter ออกมาเพียง 2 รุ่นย่อยคือ ดำ-แดง ที่เป็นสีมาตรฐานในรหัส GWF-D1000-1DR และสีดำ-ฟ้าในรหัส GWF-D1000B-1DR ก่อนที่จะมีรุ่นพิเศษตามออกมาเป็นรหัส NV หรือ Navy ด้วยชื่อรุ่น GWF-D1000NV-2DR ตัวเรือนสีน้ำเงินเข้ม และด้านในของสายรัดเป็นสีเหลือง ตัดกันอย่างตัว
เอาเข้าจริงๆ ผมไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับความพิเศษของมัน (เฉพาะเมืองไทย) เพราะคุ้นเคยดีกับกลยุทธ์ของทาง Casio ในการทำให้นาฬิกาที่ไม่ได้เข้ามาขายในไทยมีความพิเศษมากขึ้นเพื่อสนับสนุนงานทั้งด้านการตลาดและการขาย โดยวิธีที่ทำเป็นประจำคือ การซื้อนาฬิกาของ Casio ให้ครบเท่านั้นเท่านี้ แล้วถึงจะได้สิทธิ์ในการลุ้นรับรางวัล (อีกทีหนึ่ง) ไม่ใช่มีสิทธิ์ซื้อได้เลยนะ และเจ้า GWF-D1000NV-2DR ก็จะเป็นเช่นนี้
ในญี่ปุ่นมีวางขายตามปกติเหมือนกับรุ่นหนึ่งของ Frogman แต่สำหรับเมืองไทยด้วยกลยุทธ์แนวคิดนี้ ทำให้เกิด Demand ขึ้นมาระดับหนึ่ง (แต่คงไม่มากเพราะ Frogman กลุ่มคนเล่นไม่เยอะเท่าไร) และเข้ามาขายแบบจำนวนจำกัด แน่นอนว่ามันไม่ใช่ Limited Edition แต่บางครั้งการ PR หรือการสื่อออกไปเพื่อหวังผลในเชิงการตลาด พวกเขากลับใช้เรื่องของการนำเข้ามาจำกัดว่าเป็นการเหมารวมว่านาฬิกาเรือนนี้เป็น Limited Edition (แบบไทยๆ)
130,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยในกรณีของหิ้นอยู่ที่ 41,600 บาท ส่วนบ้านเราราคายังไม่หักส่วนลดอยู่ที่ 44,000 บาท สำหรับคนที่คุ้นเคยกับการซื้อกบตัวละหมื่นนิดๆ อาจจะทำหน้าเบ้แล้วพาลไม่สนใจเอาเลย เพราะถือว่าเป็นราคาที่โหดร้ายกระเป๋าเอาเรื่อง จึงไม่น่าแปลกใจที่เรามักจะไม่ค่อยได้เห็นประชากรกบรุ่นนี้บนข้อมือของคนเดินถนนมากนัก
ประเด็นผมว่าอาจจะเป็นเพราะความแพงที่เพิ่มขึ้นมาคือสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ใช้ อย่าลืมว่าคนที่เล่นนาฬิกากับคนที่ชอบการดำน้ำอาจจะเป็นคนละกลุ่ม และเชื่อว่าหลายคนที่มีนาฬิกาดำน้ำเทพๆ ในกรุ อาจจะไม่เคยดำน้ำเลยก็ด้วยซ้ำ (ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ยกเว้นการมีกรุเทพๆ) ดังนั้น ด้วยราคาที่ขยับจาก GF1000 ที่เปิดตัวขายในบ้านเราราวๆ 25,000-26,000 บาทไปเป็น 40,000 ต้นๆ งานนี้ไม่รักจริงอย่าหวังเลยว่าจะได้แอ้ม เพราะส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นอีกราวๆ 15,000 บาท คือ การจ่ายเพื่อฟังก์ชั่นที่คุณไม่ได้ใช้เลย แต่ถ้ามี Passion ก็ไม่ต้องคุยถึงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมโคตรหงุดหงิดเลยกับการจ่ายเงินระดับนี้ แล้วเจอเซอร์ไพรส์หน้างานคือ GWF-D1000NV-2DR มากับกล่องกระดาษและกระป๋องเหล็กเหมือนกับ G-Shock รุ่นปกติ !!! แม่เจ้า
ถ้าคุณเป็นแฟนที่ผ่านรีวิวของผมตั้งแต่ยังเขียนอยู่ในฟอรัมของ www.watch2home.com นี่คือเรื่องที่ผมบ่นบ่อยที่สุด โดยเฉพาะกับพวกที่ถูกยกให้เป็น Special Edition หรือ Limited Edition เพราะ Casio แทบจะไม่ลงทุนอะไรเลยเกี่ยวกับการทำ Packaging เรียกว่านาฬิกาหลักพันหรือหลักหมื่นเท่าเทียมกันหมด ยกเว้นในตลาดญี่ปุ่น ที่จะมีกล่องและคู่มือแบบพิเศษ
ตอนแรกผมคิดว่ากบของผมจะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อคนขายหยิบออกมาให้ดู เห็นแล้วจะเป็นลม มันมากับกล่องที่คุ้นเคยสุดๆ และตอนแรกคิดว่าคนขายจะมั่วนิ่ม แต่หลังจากเห็นสติกเกอร์บนกล่องว่าตรงรุ่น ก็ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ
เซ็งที่ 2 ต่อมาคือ ตามความเข้าใจของผม Frogman น่าจะเป็น G-Shock ไม่กี่รุ่นที่ Casio ยังไม่ปล่อยออกจากไลน์ผลิตในญี่ปุ่น จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ดังนั้น เมื่อผลิตในญี่ปุ่น ความคาดหวังของผมกับตัวนาฬิกาในเรื่องความเนียนจะต้องมีมากถึงมากที่สุด แต่ก็ต้องน้ำตาตกกับปลายสายที่เป็นรอยต่อระหว่างสีเหลืองกับสีน้ำเงินที่มีเหลื่อมกันอย่างไม่น่าให้อภัย ขณะที่พอเป็นสายด้านในเป็นสีเหลือง ก็ลืมไปได้เลยว่าคุณจะได้เห็นลวดลายของคาร์บอนไฟเบอร์เหมือนกับพวกสายสีดำ
บ่นกันมาพอสมปากสมควรแล้ว คราวนี้มาดูที่ตัวนาฬิกากันบ้าง อย่างที่บอกว่านี่คือการเข้ามาเสริมจากรี่น GWF/GW1000 ไม่ใช่มาแทนที่ แต่ Casio ก็ทำให้เด่นด้วยการออกแบบใหม่หมด แต่คงเอกลักษณ์ของตัว Frogman เอาไว้ เช่น ตัวเรือนแบบไม่สมมาตร หมุดเหล็กที่ปักอยู่ตรงตำแหน่ง 1 และ 5 นาฬิกา รวมถึงหน้าจอที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน และวงกลมวินาทีที่อยู่ตรงตำแหน่ง 10 นาฬิกาของหน้าปัด แล้วหน้าปัดก็เป็นกระจก Sapphire ซะที
ในเรื่องของการให้สี ต้องยอมรับว่า Casio ยังทำได้ดีมาก และเลือกคู่สีที่นอกจากจะโดดเด่นแล้วยังสวยงามอีกด้วย การเลือกเพนต์สีเหลืองเฉพาะคำว่า FROGMAN บน Bezel ถือว่า ทำให้ภาพรวมของตัวนาฬิกาดูแล้วลงตัว ไม่เลอะเทอะจนเกินไป ตาสิ่งที่ขัดใจก็คงมีแค่คำว่า Triple Sensor และ Carbon Fiber บนสายทั้งสั้นและยาว ผมว่ามันเยอะเกินไป ไม่รู้จะอวดอะไรกันหนักหนา
ในแง่ของหน้าตาและดีไซน์ แม้ว่าจะใช้รหัส 1000 เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกันเลย GWF-D1000 ได้รับการออกแบบบรูปร่างหน้าตาใหม่หมด และนั่นทำให้ขนาดของตัวเรือนใหญ่ขึ้นเล็กน้อยจากเดิม มีเส้นผ่าศูนน์กลาง 53.3 มิลลิเมตร (+0.5 มิลลิเมตร) LUG-LUG 59.2 มิลลิเมตร (+0.9 มิลลิเมตร) หนาเท่าเดิม 18 มิลลิเมตร และน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 141 กรัม งานนี้ใครข้อมือต่ำกว่า 7 นิ้วอย่าริใส่เชียว เพราะกางแน่ๆ
อีกประเด็นที่น่าหยิบยกขึ้นมาคุยคือ ในเมื่อ Frogman คือ นาฬิกาดำน้ำมันก็ต้องถูกใช้งานและทาบเข้ากับ Wet Suit ซึ่งผลที่ตามมาคือ Casio มักจะให้สายส่วนยาวมาค่อนข้างยาว คราวนี้พวกที่ดันทุรังเอามาใส่เล่นแล้วเจอ โดยเฉพาะ
คนที่มีข้อมือเล็กคือ ปลายสายมันโผล่ออกมามากเกินไป (ปัญหานี้ผมไม่เจอกับ GW200 และ GWF1000) สำหรับผมที่มีข้อมือ 7 นิ้วยังไม่ถือว่าน่าเกลียดมาก แต่กับบางคนยอมเปลี่ยนใจไม่ซื้อเพราะเรื่องนี้ก็มี
ในส่วนของ Module ก็ใหม่ชัวร์ๆ เป็นรหัส 3445 มี Multiband 6 มาจากโรงงาน ฟังก์ชั่นเพียบ ทั้งน้ำขึ้นน้ำลง Moonphase, Depth Meter วัดระดับความลึกที่ทำได้สูงสุด 80 เมตร (ขณะที่เจ้า Aqualand อีกตัวถูกกว่าร่วมหมื่น เปิดตัวขายมาก่อนหลายปีวัดสูงสุด 100 เมตร) Diving Log สำหรับบันทึกข้อมูลในเรื่องเวลาของการดำน้ำได้จำนวน 20 Logs วัดอุณหภูมิในระดับ -10-60 องศาเซลเซียส ซึ่งคุณสามารถเซ็ตค่าในการแสดงผลในหน่วยที่แตกต่างออกไป เช่น เมตร-ฟุต และเซลเซียส-ฟาเรนไฮต์ได้
ส่วนฝาหลังเมื่อพลิกดูแล้วจะพบกับฝาสีดำ พร้อมกบใหม่ที่แตกต่างจากกบที่ปรากฏตัวอยู่ใน GF1000 และ GWF1000 โดยเป็นกบที่เหมือนกับ GF1000 แต่มีสวมหมวกและถือไฟฉาย ก็ไม่รู้ว่าจะต้องการสื่ออะไร ส่วนตัวฝาผลิตด้วยกรรมวิธี DLC-Diamond-Like Carbon จึงมั่นใจในเรื่องความทนทาน และมีน้ำหนักเบา
อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากรุ่นเดิมคือ ความสามารถในการบริหารหลังงานของโมดุลนี้ ซึ่งตามปกติแล้ว เมื่ออยู่ในโหมด PS หรือ Power Saving แล้ว จะสามารถอยู่ได้ประมาณ 8-10 เดือนหลังจากที่ชาร์จจนเต็มและเก็บเอาไว้ในที่มืดๆ แต่สำหรับโมดุลใหม่นี้เก็บเอาไว้ได้นานถึง 23 เดือนหรือเกือบ 2 ปีเลยทีเดียว
ถึงบรรทัดนี้ตอนแรกจากเดิมที่ดูแล้วเฉยๆ และไม่ได้อะไรกับเจ้ากบใหม่นี้มากมายอะไรนัก หลังจากที่ได้มาครอบครองแล้ว เรียกว่าเล่นเอาหลงเลยทีเดียว ส่วนบทสรุปของผมกับนาฬิกาซีรีส์นี้ บางคนอาจจะอ่านแล้วคิดว่าผมมีความลำเอียงนิดๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ‘จริง’
เอาเป็นว่าค่าตัวที่ผมได้มาในระดับ 33,000 บาท ทางเลือกกับแบรนด์ดังๆ มือสอง หรือมือ 1 เองมีมากมาย แล้วเจ้ากบตัวใหม่นี้ก็ทั้งใหญ่ แพง และใส่ยากสุดๆ เรียกว่านอกจากคุณจะต้องมีเงินแล้ว ยังต้องมีข้อมือที่ใหญ่ด้วย
เอาเป็นว่าถ้าไม่มี Passion (และเงิน) คุณไม่มีทางมองเจ้านี่อยู่ในสายตาแน่นอน
คุณสมบัติของ : Casio G-Shock Frogman GWF-D1000NV-2DR
- ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง : 53.3 มิลลิเมตร
- Lug-to-Lug : 59.2 มิลลิเมตร
- หนา : 18 มิลลิเมตร
- กระจก : Sapphire
- กลไก : Module 3445 ชาร์จพลังงานแสดงอาทิตย์ มีมาตรวัดความลึก Depth Meter 0-80 เมตร เข็มทิศ วัดอุณหภูมิ บอกระดับน้ำขึ้นน้ำลง Moonphase
- น้ำหนัก : 141 กรัม
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline