เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของ A.Lange & Söhne Grand Lange 1 ถูกเปิดตัวออกมาแล้ว โดยมาพร้อมกับตัวเรือนที่บางลงถึง 0.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความยอดเยี่ยมในด้านความประณีตและการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของนาฬิการุ่นนี้เอาไว้อย่างครบถ้วน
A.Lange & Söhne Grand Lange 1 บางลงแต่คงความโดดเด่นในทุกรายละเอียด
-
รุ่นใหม่ของ Grand Lange 1 ซึ่งถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 แล้วของนาฬิการุ่นนี้นับจากเปิดตัวครั้งแรกในปี 2003
-
ตัวเรือนบางลงจากรุ่นก่อนหน้านี้ 0.6 มิลลิเมตร และมีวัสดุให้เลือก 2 แบบคือ ทองคำขาว และ Pink Gold
-
ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน 72 ชั่วโมงในรหัส L095.1
ความน่าสนใจสำหรับปี 2022 จาก A.Lange & Söhne ในปี 2022 คงหนีไม่พ้นการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่จากคอลเล็กชั่น Grand Lange 1 ซึ่งถือเป็นเครื่องบอกเวลาสุดหรู เพียบพร้อมด้วยความประณีตในการขัดแต่ง และรูปแบบการจัดวางของหน้าปัดที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์ โดยในปีนี้ Grand Lange 1 มาพร้อมการปรับปรุงใหม่ ด้วยตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตรที่มีให้เลือกทั้งจากทองคำขาว หรือ Pink Gold 18k พร้อมจุดเด่นของตัวเรือนที่บางเฉียบเพียง 8.2 มิลลิเมตรเท่านั้น
สำหรับคอลเล็กชั่น Grand Lange 1 ต้องบอกว่านับจากการเปิดตัวในปี 2003 นาฬิกาเรือนนี้ถือเป็นคอลเล็กชั่นหลักที่สามารถสร้างชื่อและสะท้อนเอกลักษณ์ในด้านการดีไซน์ยุคใหม่ของ A.Lange & Söhne จนกลายเป็นที่จดจำของบรรดาคนรักนาฬิกาทั่วโลก ด้วยแนวคิดในการผสมผสานความเรียบง่ายเข้ากับการแสดงผลของฟังก์ชั่นอันซับซ้อนของกลไกได้อย่างบลงตัวบนหน้าปัดที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น
ในเวอร์ชันปี 2022 ที่ถือว่าเป็นรุ่นปรับปรุงใหม่ คือ การปรับปรุงให้ตัวนาฬิกาดูอ่อนเยาว์ขึ้น ขนาดตัวเรือนบางลง และที่สำคัญยังคงความหรูหราในแง่ของสัมผัสทั้งผ่านทางสายตาและการจับต้องตามแบบฉบับเครื่องบอกเวลาระดับสูง นอกจากนั้นยังอ้างอิงแบบฉบับของการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เอาไว้อย่างครบถ้วน
แน่นอนว่าตลอดช่วงเวลาที่ทำตลาดอย่างต่อเนื่องนับจากการเปิดตัวเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว Grand Lange 1 ได้รับการตอบรับจากคนรักนาฬิกาทั่วโลกได้เป็นอย่างดี ด้วยชุดของหน้าปัดแบบอสมมาตรหรือ Asymmetry ที่มีการแยกหน้าปัดย่อยออกเป็นส่วนๆ และจัดวางในแบบเยื้องๆ ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหลักที่ควรจะเป็นตามการจัดวางเหมือนกับนาฬิกาทั่วไป
สำหรับบนหน้าปัดจะมีการแบ่งเป็นส่วนของการบอกเวลาหลักซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา และมี Small Second หรือเข็มวินาทีแยกอยู่ในตำแหน่ง 5 นาฬิกา พร้อมเข็มบอกระดับกำลังสำรองของพลังงานที่กินพื้นที่ตั้งแต่ตำแหน่ง 2-4 นาฬิกา
ขณะที่ด้านบนในตำแหน่ง 1 นาฬิกาจะเป็น Grand Date กับหน้าต่างวันที่ ซึ่งมีขนาดใหญ่และแยกตำแหน่งตัวเลขออกเป็น 2 หลัก โดยเป็นการดีไซน์ที่ยึดเอารูปแบบของนาฬิกาที่เรียกว่า Five-Minute Clock ซึ่งอยู่ใน Semper Opera House ในเมืองเดรสเดนมาเป็นต้นแบบ โดยตัวเพลทจานหมุนของตัวเลขจะอยู่ห่างกันเพียง 0.15 มิลลิเมตร และมีการใช้ทองคำประดับเป็นกรอบสีทอง ซึ่งในระบบนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับเวลาอย่างเร็วผ่านทางปุ่มกดควบคุมด้านข้างตัวเรือนซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 10 นาฬิกา
นับจากปี 2003 ไล่มาจนถึงรุ่นที่ 2 ที่เปิดตัวในปี 2012 ทางด้าน Grand Lange 1 ได้รับการปรับปรุงในส่วนของตัวเรือนมาโดยตลอด และที่สำคัญคือ การลดขนาดลงเรื่อยๆ โดยที่ไม่ลดทอนฟังก์ชั่นที่มีอยู่ในตัวเรือนนนาฬิกาลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและความยอดเยี่ยมในเชิงเทคนิคที่ทีมวิศวกรของ A.Lange & Söhne มีอยู่
ในรุ่นใหม่นี้ขยับตัวเรือนขึ้นมาจากรุ่นปี 2012 เพียงเล็อกน้อยในแง่ของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.1 มิลลิเมตรในเชิงตัวเลข แต่ในด้านการมองด้วยสายตายังถือว่าขนาดมีความใกล้เคียงกับรุ่นเดิม แต่ที่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ ความหนา เพราะถูกลดลงถึง 0.6 มิลลิเมตรมาอยู่ที่ 8.2 มิลลิเมตรเท่านั้น โดยที่ยังใช้กลไกเดิมในรหัส L095.1 ที่เปิดตัวกับรุ่นปี 2012 จึงถือเป็นงานที่ท้าทายอย่างมากสำหรับช่างผลิตนาฬิกาของ A.Lange & Söhne ในการรับมือกับเรื่องนี้ ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ดี
นาฬิกามีจำหน่ายด้วยกัน 2 วัสดุตัวเรือน นั่นคือ ทองคำขาว 18k ในรหัส 137.038 และทอง Pink Gold 18k ในรหัส 137.033 ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมากับหน้าปัดสีเงินที่ผ่านการขัดแต่งเพื่อให้มีเม็ดหยาบ (Grained Finishing) บนพื้นผิวในส่วนของรอบนอก
ขณะที่พื้นผิวของวงหน้าปัดย่อยจะมีการขัดแต่งให้เป็นลายก้นหอยหรือ Snailed Sub-Dial ซึ่งสิ่งที่ต่างกันออกไปสำหรับวัสดุตัวเรือนคือ การเลือกใช้วัสดุเดียวกันมาใช้ในการตกแต่งตามจุดต่างๆ ของหน้าปัด เช่น หลักชั่วโมง ชุดเข็ม และรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งสามารถสร้างความแตกต่างและสัมผัสที่แยกจากกันอย่างชัดเจนระหว่างรุ่นทองคำขาว และPink Gold
กลไก L095.1 ถูกพัฒนาขึ้นมาเมื่อปี 2012 เพื่อใช้กับ Grand Lange 1 รุ่นที่ 2 ซึ่งมีความหนา 8.8 มิลลิเมตรนั้น ถือเป็นการพัฒนาที่เหมือนกับทีมออกแบบของ A. Lange & Söhne มองการณ์ไกลว่าต่อไปเทรนด์นาฬิกาน่าจะต้องมีความบางลงเรื่อยๆ ดังนั้น พวกเขาจึงจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นทางด้วยการออกแบบให้ชุดกลไกมีความบางเฉียบเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของการปรับปรุงตามมา
โดยความหนาของกลไกชุดนี้อยู่ที่ 4.7 มิลลิเมตรเท่านั้น และด้วยความต้องการให้เป็นกลไกไขลานที่มีกำลังสำรองเพียงพอต่อการใช้งานด้วยตัวเลข 72 ชั่วโมงนั้น แทนที่จะใช้ตลับลานแบบคู่ ทางทีมออกแบบก็เลือกที่จะใช้ตลับลานเพียงชุดเดียวเพื่อลดจำนวนชิ้นส่วนที่อยู่ภายในกลไกและเพื่อการจัดสรรพื้นที่ได้อย่างลงตัว
เพราะกลไกชุดนี้มีความต่างจากกลไกนาฬิกาทั่วไป เนื่องมาจากการออกแบบหน้าปัดในสไตล์อสมมาตรทำให้ชุดขับเคลื่อนเข็มชั่วโมงและนาทีต้องเป็นแบบเยื้องศูนย์ หรือ Off-Center
ตัวกลไกประกอบด้วยชิ้นส่วนจำนวน 397 ชิ้น และเมื่อพลิกด้านหลังจะพบกับความงามที่มีการตกแต่งและขัดแต่งอย่างประณีต โดยด้านหลังจะมี Plate ที่ผลิตด้วยเงินชิ้นใหญ่ซึ่งกินพื้นที่ถึง ¾ ส่วนของฝาหลัง มีการขัดด้วยลาย Glashütte ribbing ลงบนชิ้นส่วนนี้ ซึ่งให้ความลงตัวและความงดงามอย่างมาก
A.Lange & Söhne Grand Lange 1 ถือเป็นเครื่องบอกเวลาระดับสูงอีกรุ่นที่นำเสนอโดดเด่นและเทคนิคในการผลิตนาฬิกาชั้นสูงได้อย่างลงตัวและยอดเยี่ยม โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 45,900 ยูโร
ข้อมูลทางเทคนิค : A.Lange & Söhne Grand Lange 1
- เส้นผ่านศูนย์กลาง : 41 มิลลิเมตร
- ความหนา : 8.2 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือน : ทองคำขาว/Pink Gold
- กระจก : Sapphire
- กลไก : ไขลาน L095.1
- กำลังสำรอง : 72 ชั่วโมง
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline