URWERK ยังคงนำเสนอความล้ำสมัยของกลไกแห่งอนาคต ซึ่งครั้งนี้เป็นรุ่น UR-10 SpaceMeter บนตัวเรือนมี 2 แบบ คือ สเตนเลสสตีลและไทเทเนียมหนาเพียง 7.13 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลงานที่บางที่สุดของ URWERK ความบางนี้มาพร้อมความซับซ้อน ขับเคลื่อนด้วยกลไก UR-10.01 พัฒนาโดย URWERK มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบขึ้นลานด้วยตนเอง พร้อมบาร์เรลคู่ พร้อมความสามารถในการวัดการเคลื่อนตัวของโลกในห้วงอวกาศ

URWERK UR-10 SpaceMeter มาตรวัดการเคลื่อนตัวของโลกในอวกาศ
-
นาฬิกาแห่งความล้ำสมัยที่สามารถวัดการเคลื่อนตัวของโลกในห้วงอวกาศ
-
ตัวเรือนมี 2 แบบ คือ สเตนเลสสตีลและไทเทเนียมหนาเพียง 13 มิลลิเมตร
-
UR-10.01 พัฒนาโดย URWERK มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบขึ้นลานด้วยตนเอง พร้อมบาร์เรลคู่
URWERK UR-10 SpaceMeter ไม่ใช่เพียงอีกหนึ่งก้าวสำคัญบนเส้นทางของ URWERK แต่คือการหลอมรวมเรื่องราวของเวลาและอวกาศ มรดกและเสรีภาพ วิทยาศาสตร์และอารมณ์ ผลงานที่เปิดพื้นที่ให้ URWERK ได้นำเสนอสิ่งใหม่ โดยไม่ละทิ้งอุดมคติที่เป็นหัวใจหลักของแบรนด์ ซึ่งทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีความน่าสนใจอย่างมากทั้งในเรื่องของดีไซน์ และฟังก์ชั่นในการใช้งานที่มีความล้ำสมัย
![]() |
![]() |
![]() |
จุดเริ่มต้นของการออกแบบ มีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของตระกูล Baumgartner ซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญในการให้กำเนิด UR-10 คุณปู่ของ Felix เป็นช่างนาฬิกา ส่วนบิดาของเขา Gérard เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบูรณะนาฬิกาโบราณ
ซึ่งเขาทำหน้าที่นี้ด้วยความประณีตและความชำนาญ Felix เองก็เลือกเดินตามเส้นทางของบรรพบุรุษ เข้าสู่วงการนาฬิกาเช่นเดียวกัน แต่หากบรรพบุรุษของเขายึดมั่นในขนบธรรมเนียมและงานหัตถศิลป์ดั้งเดิม Felix กลับเลือกที่จะตีความศาสตร์แห่งเวลาผ่านมุมมองร่วมสมัย และในบางครั้งก็ก้าวล้ำไปไกลถึงโลกแห่งอนาคต
ในปี 1996 Gérard Baumgartner ได้ค้นพบนาฬิกาลูกตุ้มเรือนหนึ่งที่ดูไม่ธรรมดา โดยมีลายเซ็นของ Gustave Sandoz กำกับ ปรมาจารย์แห่งศิลปะแห่งเวลาในศตวรรษที่ 19 ผู้เคยดำรงตำแหน่ง “ช่างนาฬิกาประจำราชสำนักและกองทัพเรือฝรั่งเศส”
ตั้งแต่ปี 1874 ความสนใจในลายเซ็นนี้ทำให้ Gérard ตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนนั้นมา แม้ว่ากลไกภายในจะดูซับซ้อนและยากจะเข้าใจในตอนแรกก็ตาม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเครื่องบอกเวลาที่มีหน้าปัดย่อยสามวง ซึ่งดูเหมือนไม่สัมพันธ์กับการแสดงเวลาในรูปแบบทั่วไป อีกทั้งลูกตุ้มยังแกว่งเร็วกว่าปกติ
ด้วยความหลงใหลในกลไก Gérard ค่อย ๆ ไขปริศนา จนค้นพบว่าแท้จริงแล้ว คือเครื่องติดตามเส้นทางการโคจรของโลก ผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมกลไกที่ออกแบบมาเพื่อวัดการหมุนของโลกตามหลักการของระบบเรกูเลเตอร์ โดยแสดงระยะทางที่โลกเคลื่อนผ่านในสามสเกลเวลาที่แตกต่างกัน
เมื่อนาฬิกาเรือนนี้ได้รับการบูรณะจนสมบูรณ์ Gérard จึงมอบให้แก่ลูกชายของเขา โดย Felix Baumgartner ช่างทำนาฬิการะดับปรมาจารย์และผู้ร่วมก่อตั้ง URWERK เล่าว่า
“พ่อของผม ผู้ที่เคารพในขนบธรรมเนียมแห่งศาสตร์นาฬิกา มอบนาฬิกาคลาสสิกเรือนหนึ่งให้แก่ผม นาฬิกาที่มีเข็มหมุนเป็นปกติ…แต่ไม่สามารถบอกเวลาได้จริง ของขวัญชิ้นนี้เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงสองโลกเข้าด้วยกัน โลกของบิดาที่อุทิศตนให้กับงานหัตถศิลป์แบบดั้งเดิม และโลกของ
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
URWERK ที่มุ่งแสวงหาการปฏิวัติแนวคิดเดิมๆ ทั้งหมดคือแรงบันดาลใจที่จุดประกายให้เราสร้างสรรค์ UR-10 โครโนมิเตอร์เรือนแรกที่ถ่ายทอดการเคลื่อนที่ของโลกออกมาเป็นระยะทางในหน่วยกิโลเมตร”
และนี่คือ URWERK ที่มาพร้อมหน้าปัด ตัวเรือนทรงกลม และเข็มชี้เวลากลางหน้าปัด องค์ประกอบที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการท้าทายต่อแนวคิดดั้งเดิมของแบรนด์ ในแวบแรก UR-10 อาจดูเหมือนการพลิกรูปลักษณ์ครั้งใหญ่ของ URWERK แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด กลับพบว่านี่คือผลงาน ‘Special Projects’ อย่างแท้จริง คอลเลกชั่นแห่งความกล้า ท้าทาย และความคิดนอกกรอบ ที่ URWERK เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์
![]() |
![]() |
ตัวเรือนมี 2 แบบ คือ สเตนเลสสตีลและไทเทเนียมหนาเพียง 7.13 มิลลิเมตร ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่บางที่สุดของ URWERK ความบางนี้มาพร้อมความซับซ้อน ตัวเรือนไทเทเนียมและฝาหลังสเตนเลสสตีลประกอบแน่นด้วยสกรูแนวยาวที่ขันจากด้านข้าง “ตัวเรือนเรียบสมมาตร แต่มีดีไซน์เฉพาะตัว” Martin Frei กล่าว “โครงสร้างขันสกรูด้านข้างตามแบบ Gérald Genta เป็นเอกลักษณ์ของนาฬิการะดับตำนาน ตัวเรือนมีเพียงสองชิ้น ไม่มีวงแหวนรอบขอบหน้าปัด แม้ดูเรียบง่าย แต่ซับซ้อนอย่างยิ่ง”
![]() |
![]() |
แม้ว่า UR-10 จะมาพร้อมหน้าปัดย่อยสามวง แต่ไม่ใช่นาฬิกาเรกูเลเตอร์ ไม่ใช่โครโนกราฟ และไม่ใช่นาฬิกาคาเลนดาร์ใดๆ การแสดงผลบนหน้าปัดย่อยเหล่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อจับเวลาหรือวัดการผ่านไปของเวลาแต่อย่างใด UR-10 ได้รับสมญานามว่า SpaceMeter ก็ด้วยเหตุผลอันชัดเจน คือนาฬิกาที่ใช้วัดระยะทางซึ่งโลกของเราเคลื่อนผ่านในห้วงอวกาศและเวลา นับเป็นครั้งแรกของโลก !
เมื่อแรกเห็น ความย้อนแย้งก็ปรากฏ หน้าปัดทรงกลม เข็มชี้กลางหน้าปัด มาตรวัดแบบวงแหวนซ้อน… คุณลักษณะเหล่านี้ดูเหมือนจะสวนทางกับรูปลักษณ์ของ URWERK แต่แท้จริงแล้วกลับสะท้อนอีกหนึ่งปรัชญาที่แบรนด์ยึดมั่นมาตลอด
และหน้าปัดย่อยทั้งสามวงของ UR-10 ก็เปรียบได้กับเครื่องมือทางดาราศาสตร์ โดยที่ตำแหน่ง 2 นาฬิกา หน้าปัดที่มีคำว่า EARTH ใช้สำหรับวัดระยะทางที่โลกหมุนรอบตัวเองในแต่ละวัน โดยแสดงผลทุกระยะทาง 10 กิโลเมตร และแบ่งละเอียดเป็นช่วงละ 500 เมตร
ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา หน้าปัดที่ระบุว่า SUN แสดงระยะทางที่โลกเคลื่อนที่บนวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยขยับทุก ๆ 20 กิโลเมตร และแสดงค่าทุกระยะทาง 1,000 กิโลเมตร
ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา หน้าปัด ORBIT ทำหน้าที่รวมเส้นทางทั้งสอง ทั้งการหมุนรอบตัวเองและการโคจรรอบดวงอาทิตย์ เข้าด้วยกัน โดยแสดงผลบนสองสเกลที่เคลื่อนที่สอดประสานกัน: หนึ่งสเกลสำหรับทุก ๆ 1,000 กิโลเมตรของการหมุนรอบตัวเอง และอีกหนึ่งสเกลสำหรับทุก ๆ 64,000 กิโลเมตรของการโคจรรอบดวงอาทิตย์
![]() |
![]() |
![]() |
ด้านหลังของตัวเรือน เข็มวงนอกจะชี้บอกเวลาแบบ 24 ชั่วโมง สะท้อนการหมุนรอบตัวเองของโลกหนึ่งรอบอย่างแม่นยำ ฝาหลังยังแกะสลักคำว่า Rotation (การหมุนรอบตัวเอง) และ Revolution (การโคจรรอบดวงอาทิตย์) ไว้อย่างชัดเจน โดยการหมุนของ Rotation อ่านตามเข็มนาฬิกา ขณะที่ Revolution ต้องอ่านทวนเข็มนาฬิกา ความแตกต่างนี้ เป็นการสะท้อน “การหมุนสวนทาง” ของโลกที่แท้จริง เป็นบทกวีแห่งจักรวาลที่เตือนใจถึงการเคลื่อนที่ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
![]() |
![]() |
![]() |
Martin Frei ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์และผู้ร่วมก่อตั้ง URWERK กล่าวว่า « เวลาและอวกาศ คือความจริงที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว UR-10 ถ่ายทอดสองแง่มุมของสภาวการณ์ การดำรงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของเวลา และการเป็นเพียงผู้โดยสารบนดาวเคราะห์ที่กำลังเดินทางท่ามกลางจักรวาล
“เราทุ่มเทความรักให้ให้กับนาฬิกาเรือนนี้” Felix Baumgartner กล่าว “เราร่วมมือกับ Vaucher Manufacture ในการพัฒนากลไกพื้นฐานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เคร่งครัดทั้งด้านเทคนิคและการออกแบบ ขณะเดียวกันโมดูลกลไกสลับซับซ้อนของ URWERK
ซึ่งพัฒนาขึ้นภายในทั้งหมด ก็เปิดทางสู่ความท้าทายใหม่ด้านการจัดการน้ำหนักและพลังงาน ซึ่งเป็นแก่นแท้ของปรัชญาเรามาโดยตลอดเราผลักดันงานวิจัยและพัฒนาไปถึงขีดสุด ใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อคงไว้เฉพาะสิ่งจำเป็น กลไกนี้ประกอบด้วยเฟืองห้าแกน หมุนบนทับทิมเพื่อลดแรงเสียดทาน
พร้อมระบบควบคุมพลังงานที่แม่นยำ ถ่ายทอดจังหวะการทำงานสองแบบในกลไกเดียว เราใช้เฟืองแบบสเกเลตัน (skeletonized LIGA wheels) ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 0.015 ถึง 0.009 กรัม เท่าขนตาเส้นหนึ่ง เพื่อประหยัดพลังงานสูงสุด ทั้งหมดนี้เพื่อรักษาความแม่นยำ ความแข็งแกร่ง ที่แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณ”
อีกหนึ่งพัฒนาการทางวิศวกรรมนาฬิกาที่เกี่ยวข้องกับ UR-10 คือการเพิ่ม Double Flow Turbine ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของระบบขึ้นลานอัตโนมัติแบบทิศทางเดียวของ URWERK โดยเทอร์ไบน์ที่จดสิทธิบัตรนี้ประกอบด้วยใบพัดสองชุดที่ซ้อนกัน หมุนในทิศทางตรงข้ามกัน
เมื่อกลไกขึ้นลานอัตโนมัติไม่ได้หมุนในทิศทางที่ใช้ในการขึ้นลาน การเคลื่อนไหวของโรเตอร์จะสร้างแรงเฉื่อยที่ส่งผลกระทบต่อระบบกลไก เทอร์ไบน์คู่นี้จึงช่วยสร้างกระแสลมระหว่างใบพัดทั้งสองชุด ซึ่งช่วยชะลอความเร็วและปกป้องกลไกจากการสึกหรอ นอกจากนี้ ใบพัดทั้งสองยังสร้างภาพเคลื่อนไหวที่ดึงดูดสายตาราวกับมนต์สะกด
URWERK UR-10 SpaceMeter มีการผลิตออกสู่ตลาดจำนวน 50 เรือน แบ่งเป็น 25 สำหรับไทเทเนียม และอีก 25 สำหรับตัวเรือนเคลือบดำ ราคา 3.086 ล้านบาท
รายละเอียดทางเทคนิค : URWERK UR-10 SpaceMeter
- เส้นผ่านศูนย์กลาง : 45.4 มิลลิเมตร
- Lug to Lug : 44 มิลลิเมตร
- ความหนา : 7.13 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือน : ไทเทเนียมพ่นทราย ส่วนฝาหลังทำจากสเตนเลสสตีลพ่นทราย
- สายนาฬิกา : ไทเทเนียมพ่นทราย ข้อต่อเดี่ยว พร้อมบานพับล็อกไทเทเนียม
- กระจก : Sapphire ทรงกล่อง พร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อน
- กลไก : UR-10.01 พัฒนาโดย URWERK มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบขึ้นลานด้วยตนเอง พร้อมบาร์เรลคู่
- ความถี่ : 4 เฮิร์ต, 28 800 ครั้ง/ชั่วโมง
- กำลังสำรอง : 43 ชั่วโมง
- การกันน้ำ : 30 เมตร
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline






















![Ulysse Nardin FREAK [S ENAMEL] เมื่อนวัตกรรมพบกับงานเอนาเมล Ulysse Nardin FREAK [S ENAMEL]](https://www.ana-digi.com/wp-content/uploads/2025/10/Ulysse-NardinFreakSEnamel-opn-218x150.jpg)








