Seiko Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J ปรับขนาด เปลี่ยนกลไก จนได้ความลงตัว

0

นอกจากรุ่นกลไกอัตโนมัติแล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่ Seiko Sumo จะมีทางเลือกของกลไกควอตซ์แบบจับเวลา หรือ Chronograph และหลังจากที่ได้ลองแล้ว เราพบว่า นี่คือนาฬิกาที่น่าสนใจอีกรุ่นหนึ่งของ ไซโก้ Seiko เลยทีเดียว

Seiko Sumo Chronograph Solar
Seiko Sumo Chronograph Solar

Seiko Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J ปรับขนาด เปลี่ยนกลไก จนได้ความลงตัว

  • ผลผลิตใหม่จากคอลเล็กชั่น Sumo กับนาฬิกา Chronograph ที่มากับกลไก V192 ควอตซ์และชาร์จพลังงานผ่านแสงอาทิตย์ หรือ Seiko SOLAR

  • ตัวเรือนถูกลดขนาดลงเมื่อเปรียบเทียบกับ Sumo ที่ใช้กลไกอัตโนมัติ ทำให้ใส่ได้ง่ายและสะดวกสำหรับคนข้อมือเล็ก

  • ทำตลาด 2 รุ่นคือ SBDL063/SSC759J หน้าน้ำเงินสายยาง และ SBDL061/SSC757J หน้าดำสายเหล็ก

- Advertisement -

ดวงคนเราจะเสียเงินอะไรก็ฉุดไม่อยู่ เหมือนอย่างวันนี้โรงเรียนลูกๆ หยุด และผมไม่ติดกิจในการไปรับกลับบ้าน ก็เลยพอมีเวลากลับไปเดินทัวร์ที่ห้างขาประจำสักหน่อยเพราะกะจะเซอร์เวย์อัพเดทความเคลื่อนไหวในตลาดสักหน่อย แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นว่า โดนซะเอง ได้ของติดมือกลับมา และก็ไม่ใช่อะไรอื่น เป็น Seiko Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J ซึ่งผมแอบเล็งๆ เอาไว้ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ของลงเคาน์เตอร์พอดี….อะไรมันจะเหมาะเจาะปานนั้น

Seiko Sumo Chronograph Solar

สมัยเด็กๆ ผมเป็นคนชอบนาฬิกาจับเวลาแบบ Chronograph ด้วยเหตุผลเดียวคือ เข็มมันเยอะดี ดูแล้วเท่ แต่เมื่อโตมาความชอบก็ยังมีอยู่ แต่ใจเอนเอียงไปที่นาฬิกาดำน้ำเสียมากกว่า ดังนั้น ตอนที่ Seiko เปิดตัว Sumo Chronograph ที่ใช้รหัส SSC759J1 สำหรับตลาดต่างประเทศ ซึ่งก็รวมถึงเมืองไทย และใช้รหัส SBDL063 สำหรับตลาดญี่ปุ่น มันจึงอยู่ในความสนใจของผม เพราะเป็นความลงตัวในเรื่องของความชอบใน 2 สิ่งที่ถูกรวมเข้ามาอยู่ด้วยกัน

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

เอาเข้าจริงๆ ตอนแรกที่มีข่าวออกมาผมคิดว่า Seiko จะทุ่มทุนจับกลไกจับเวลาแบบอัตโนมัติมาใส่ แต่เมื่อมองดูจากระดับตลาดของ Sumo และราคาของกลไกประเภทนี้แล้ว คิดว่าคงยากที่จะเป็นไปได้ถ้าราคาของ Sumo Chronograph ยังถูกตั้งให้อยู่ในระดับนี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หวยจะมาตกลงที่กลไกควอตซ์ และพวกเขาเลือกเอารหัส V192 มาใช้ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้มีความชัดเจนในการแบ่งระดับตลาดกับ Diver Solar Chronograph ที่มีราคาถูกกว่าและใช้กลไกรหัส V175

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

ผมเล็งหน้าปัดน้ำเงินเอาไว้ตั้งแต่แรกเห็นด้วยเหตุผลไม่กี่อย่าง นั่นคือ ในมุมผมมันสวยกว่าหน้าดำ อย่างที่ 2 ผมชอบสายยางมากกว่า ราคาป้ายถูกกว่า 2,000 บาทซึ่งเหลือพอจะไปสอยรองเท้าอีกสักคู่ และสุดท้ายในกรุของผม ณ ตอนนี้ มีนาฬิกาหน้าปัดสีน้ำเงินเพียงเรือนเดียวเท่านั้น ดังนั้น การเข้ามาของ Seiko Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J ก็จะช่วยเบรกความซ้ำซากของหน้าปัดดำที่อยู่ในกรุของผมลงไปได้

อย่างไรก็ตาม ความชอบนี้ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความเสี่ยงในบางเรื่องและจะชัดเจนขึ้นก็ต่อเมื่อมีการได้ลองจับและเห็นตัวจริงๆ เท่านั้น ประเด็นที่ว่าคือ เรื่องรูบนขาสายของ Seiko Sumo เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ Gen 1 มาจนถึง Gen 2 นี่คือปัญหาหนักอกสำหรับผม เพราะด้วยเหตุที่รูบนขาสายอยู่ในระดับที่ต่ำ ถ้าคุณเลือกสายไม่เหมาะสม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ช่องว่างขนาดเอานิ้วสอดลงไปได้ระหว่างตัวเรือนและสายหนัง ซึ่งตรงนี้ผมถือว่าเป็นจุดหลักที่ทำให้ผมไม่ค่อยโอเคกับนาฬิกา Sumo ของ Seiko สักเท่าไร ทั้งที่เป็นนาฬิกาที่คุ้มค่ารุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้

Seiko Sumo Chronograph Solar

เมื่อยืนเกาะเคาน์เตอร์และชี้ให้คนขายรีบหยิบมา สิ่งแรกที่ผมขอดูก่อนเลยก็คือ สายยางรุ่นใหม่ของ Seikoสามารถจับคู่กับ Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J ได้อย่างลงตัวหรือไม่ ? และคำตอบเรื่องนี้ก็ได้ความกระจ่างหลังจากหยิบขึ้นมาดูด้วยตาตัวเอง

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยในเรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะเมื่อกลับมาบ้านก็จัดการถอดสายยางออกแล้วเอามาลองกับสายหนังไซส์ 20 มิลลิเมตรที่มีอยู่ ซึ่งพบว่าหลังจากลองไปได้ 4 เส้น ปัญหาเรื่องช่องว่างตรงนี้ได้หมดไปแล้ว กับสายยางติดมาจากโรงงานนั้นไม่ต้องพูดถึง แทบไม่เหลือช่องว่างเลย และเมื่อลองเอาสายหนังของตัวเองที่มีหัวสายค่อนข้างหนาไปจนถึงบาง ก็ไม่มีช่องว่างแบบน่าเกลียดให้เห็นอีกต่อไป และอยู่ในระดับที่รับได้เกือบทั้งหมด

อีกสิ่งที่ผมว่าน่าจะทำให้ Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J ได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะกับคนข้อเล็กคือ ใส่แล้วโอกาสกางมีน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับ Sumo กลไกอัตโนมัติ นอกเสียจากข้อมือคุณจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 6 นิ้ว

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

ตรงนี้ทาง Seikoมีการลดขนาดของตัวเรือน 2 จุดคือ เส้นผ่านศูนย์กลางซึ่งอยู่ที่ 44.5 มิลลิเมตร และ Lug to Lug ซึ่งอยู่ในระดับ 51.6 มิลลิเมตร และแทบไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าส่วนต่างแค่ 0.95 มิลลิเมตร จะทำให้ผมมีความรู้สึกว่า Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J เล็กลงอย่างชัดเจนเมื่ออยู่บนข้อมือขนาด 7 นิ้วของผม

แต่การได้ความหนาของตัวเรือนที่เพิ่มเข้ามาอีก 0.8 มิลลิเมตรกลับช่วยทำให้นาฬิกาดูบึกขึ้น และมีสมดุลมากขึ้นเมื่ออยู่บนข้อมือ เรียกว่าความรู้สึกว่าเป็นนาฬิกาตัวโตขาลีบเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับรุ่นอัตโนมัตินั้นหมดไปในทันที แม้ว่ารุ่นนี้จะยังมีความกว้างขาสาย 20 มิลลิเมตรเหมือนเดิมก็ตาม

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

เอาเป็นว่าถ้าคุณยังคาใจกับ Sumo กลไกอัตโนมัติ และมีโอกาสเดินผ่านเคาน์เตอร์ Seikoผมว่าไปขอลองเอา Sumo Chronograph ขึ้นข้อดูแล้วจะพบว่ามันมีเสน่ห์และความสวยชนิดที่ทำให้เงินหลุดลอยออกจากกระเป๋าได้อย่างง่ายๆ

นอกเหนือจาก 2 ข้อนี้แล้ว ผมยังค่อนข้างชอบรายละเอียดบนหน้าปัดของ Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J โดยเฉพาะหน้าน้ำเงินแบบ Deep Blue ที่ถูกออกแบบหน้าปัดมีการเล่นแสงในระดับหนึ่ง แต่ไม่เยอะชนิดที่เป็นประกายวิบวับเหมือนกับที่เจอในพวกรุ่น Save the ocean เรียกว่าปกติผมเป็นคนชอบหน้าปัดนาฬิกาแบบสีด้านมากกว่าพวก Sunray หรือ Gradient แต่กับรุ่นนี้ต้องยอม

Seiko Sumo Chronograph Solar

ขณะที่ชุดเข็มชั่วโมง-นาทีแม้ว่าจะมีดีไซน์และสไตล์ที่คล้ายกับSumo กลไกอัตโนมัติ แต่ก็ออกแบบใหม่และเป็นคนละชุดกัน เพราะใน Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J จะมีการเจาะโปร่งที่ปลายในส่วนที่ติดกับแกน และปลายเข็มมีการเคลือบสารเรืองแสง Lumibrite เช่นเดียวกับเข็มวินาทีในวงหน้าปัดย่อยก็มีการเคลือบสารนี้ด้วยเช่นกัน

อีกสิ่งที่ Seiko ทำได้คือ

การวางสมดุลของหน้าปัดย่อยของระบบ Chronograph และบรรดาข้อความทั้งหลายที่อยู่บนหน้าปัดที่ไม่ได้มีเยอะจนเกินงาน โดยในส่วนหน้าปัดย่อยนั้นในตำแหน่ง 9 นาฬิกาคุณจะพบกับหน้าปัดของเข็มวินาทีในการแสดงเวลาปกติ ในตำแหน่ง 6 นาฬิกาเป็นวงย่อยจับเวลาในสเกล 60 นาที และจะมีช่องสำหรับแสดงพลังงานของแบตเตอรี่ หรือ Power Indicator ซึ่งเมื่อคุณคลายเกลียวของปุ่มกดจับเวลา พร้อมกับกดปุ่มให้ทำงาน เข็มจะดีดกลับมาที่ตำแหน่ง 0 ที่พร้อมจับเวลา ขณะที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาเป็นหน้าปัดย่อยของการบอกเวลา AM/PM โดยทั้ง 3 วงย่อยนี้จะมากับพื้นสีดำ และเป็นหน้าปัดแบบเล่นระดับ 2 ชั้นที่เว้าลึกลงไป

Seiko Sumo Chronograph Solar

แม้ว่าจะใช้กลไกควอตซ์ที่แตกต่างจากที่ Sumo เป็นมาตั้งแต่รุ่นแรก แต่ในเมื่ออยู่ในคอลเล็กชั่นเดียวกัน คุณก็จะสามารถสัมผัสกลิ่นอายของ Sumo ที่ถูกส่งผ่านออกมา ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนทรงโค้งที่รับกับข้อมือ หลักชั่วโมงในตำแหน่ง 12 นาฬิกาทรงสามเหลี่ยมปลายตัดที่ออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายกับ Mawashi ซึ่งเป็นผ้าเตี่ยวสำหรับนักกีฬา Sumo รวมถึงหลักชั่วโมงทรงกลม ไปจนถึงฟอนต์และรายละเอียดบนขอบสเกลบนขอบตัวเรือนที่ถอดแบบกันมา

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

กลไกแบบควอตซ์ที่อาศัยแสงอาทิตย์ในการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในตัวเก็บประจุที่ Seikoเรียกว่า SOLARนั้น สำหรับตัวผมไม่ได้ติดปัญหาหรือประเด็นในการใช้งานอะไรเลย เพราะคุ้นเคยกันมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยที่ยังขลุกอยู่ในโลกของ G-Shock แถมในรุ่นนี้มี Power Indicator มาให้ด้วย การใช้งานก็ยิ่งง่ายเข้าไปอีก เพราะเมื่อไรที่เข็มกระดิกลงจาก F มาอยู่ใกล้ E ก็ควรรีบเอาออกมาวางตากแดดกันได้แล้ว

Seiko Sumo Chronograph Solar

ตามสเปกของ Seikoนั้น กลไก V192 ที่อยู่ใน Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J เมื่อมีการชาร์จจนเต็ม จะสามารถทำงานได้นานถึง 6 เดือนสำหรับการใช้งานปกติ โดยที่เปิดการใช้งานระบบ Chronograph น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน ตัวกลไกมีความเที่ยงตรงระดับ +/-15 วินาทีต่อเดือน เรียกว่าใช้กันสบายๆ สำหรับคนที่มองหานาฬิกาที่ใช้งานสะดวก ไม่ต้องมานั่งตั้งเวลาใหม่เมื่อหมดลานเหมือนอย่างนาฬิกาอัตโนมัติ

Seiko Sumo Chronograph Solar Seiko Sumo Chronograph Solar

Seiko Sumo Chronograph Solar

Sumo Chronograph Solar SBDL063/SSC759J มีราคาป้ายในเมืองไทยอยู่ที่ 25,400 บาท และถ้าเป็นรุ่นสายเหล็กในรุ่น SBDL061/SSC757J จะมีราคาขยับขึ้นมาอยู่ที่ 27,400 บาท เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากได้นาฬิกาที่ไม่มีความยุ่งยากในการใส่ การขัดตัวเรือนและคุณภาพ รวมถึงสเป็กอยู่ในระดับเดียวกับ Sumo Automatic ผมว่านี่คืออีกทางเลือกที่ควรรับไว้พิจารณา