Seiko เปิดตัวทางเลือกใหม่ของคอลเล็กชั่น Prospex Speedtimer ด้วยนาฬิการุ่น SPB513 & SPB515 ที่มาพร้อมกลิ่นอายในสไตล์วินเทจของดีไซน์ทั้งตัวเรือนและสาย โดยความพิเศษอยู่ที่ขอบ Inner Ring ที่อยู่ในตัวนาฬิกาสามารถหมุนได้เพื่อใช้ในการจับเวลาถอยหลัง และควบคุมผ่านเม็ดมะยมในตำแหน่ง 4 นาฬิกา และขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ 6R55 ที่มีกำลังสำรอง 72 ชั่วโมงหรือ 3 วันโดยตคัวเรือนมีขนาด 39.5 มิลลิเมตร โดยจะเริ่มทำตลาดในเดือนกันยายนนี้
Seiko Prospex Speedtimer SPB513 & SPB515 ย้อนสไตล์ 3 เข็มจับเวลาถอยหลัง
-
นาฬิการุ่นใหม่ของคอลเล็กชั่น Speedtimer ที่มีทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่นพิเศษ
-
ตัวเรือนขนาด 39.5 มิลลิเมตรพร้อม Inner Ring หมุนได้เพื่อใช้ในการจับเวลาถอยหลัง
-
ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ 6R55 ที่มีกำลังสำรอง 72 ชั่วโมงหรือ 3 วัน
การขยายไลน์อัพของนาฬิกาในกลุ่ม Speedtimer ครั้งใหม่ของ Seiko และน่าจะเป็นครั้งแรกที่ทางแบรนด์ใช้ชื่อนี้แต่ทว่าตัวนาฬิกาไม่ได้มากับระบบจับเวลาอย่าง Chronograph อย่างไรก็ตาม Seiko Prospex Speedtimer SPB513 & SPB515 ก็ยังไม่หลุดคอนเซ็ปต์ของคอลเล็กชั่นนี้ เพราะในรุ่นนี้ยังมีการจับเวลาด้วยขอบสเกลแบบหมุนได้ที่เป็น Inner Ring อยู่ในหน้าปัด
![]() |
![]() |
สำหรับนาฬิกาเซ็ตนี้ถือว่าเป็นของใหม่แบบแกะกล่อง และทาง Seiko เองประกาศชัดเจนว่าจะเริ่มทำตลาดในเดือนกันยายน และถือเป็น Shop Exclusive Model ซึ่งนั่นหมายความว่า จะทำตลาดผ่านทางบูติกหรือช้อปอย่างเป็นทางการของ Seiko เท่านั้น โดยในเซ็ตแรกของตัวนาฬิกาจะมีทำตลาด 3 รุ่นย่อย ซึ่งเป็น 2 รุ่นสำหรับเวอร์ชันปกติ และอีก 1 รุ่นที่เป็น Limited Edition ซึ่ง Seiko จับมือกับแบรนด์ Datsun ซึ่งทาง Nissan ได้ปัดฝุ่นนำชื่อนี้กลับมาทำตลาดใหม่ตั้งแต่ปี 2014 แต่ก็จำกัดวงตลาดอยู่ไม่กี่ประเทศเท่านั้น เพียงแต่การจับมือครั้งนี้เป็นการระลึกถึงรถสปอร์ตรุ่นคลาสสิคอย่าง Fairlady Z หรือ 240Z รุ่นดังในอดีต
Seiko Prospex Speedtimer SPB513 & SPB515 มากับคอนเซ็ปต์ของนาฬิกาจับเวลา แต่เป็นแบบ 3 เข็ม ซึ่งด้านในของตัวนาฬิกาจะมีขอบ Inner Ring แบบหมุนได้คล้ายกับนาฬิกาดำน้ำแบบ Super Compressor และบนชิ้นส่วนนี้จะมีสเกลจับเวลาในแบบถอยหลังสำหรับเอาไว้ใช้ทำงานร่วมกับเข็มวินาทีหรือเข็มนาทีในการจับเวลาผ่านการหมุนด้วยปุ่มที่อยู่ตรงตำแหน่ง 4 นาฬิกา ส่วนเม็ดมะยมในตำแหน่ง 3 นาฬิกาจะทำหน้าที่ในการปรับตั้งเวลา
ตัวเรือนและสายผลิตจากสเตนเลสสตีล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือนอยู่ที่ 39.5 มิลลิเมตร ขณะที่สานเป็นแบบข้อเดี่ยวแนวนอนแต่ถูกยึดด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ 2 ชิ้นในแต่ละข้อ ซึ่งเป็นสไตล์ออกแบบที่คล้ายกับสายนาฬิกาจับเวลาของ Seiko ที่ทำตลาดในช่วงทศวรรษที่ 1970 โดยทั้งตัวเรือนและสายผ่านการเคลือบด้วยกระบวนการ Diashield หรือ Diamond Shield เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการขูดขีด และลดการเกิดรอยบนพื้นผิว
![]() |
![]() |
2 รุ่นที่ทำตลาดในช่วงแรก คือ
-
SPB513 ในตลาดโลก หรือ SBDC215 ในตลาดญี่ปุ่น มากับหน้าปัดสีขาว-เงิน ขอบสเกลด้านนอกสีดำ
-
SPB515 ในตลาดโลก หรือ SBDC217 ในตลาดญี่ปุ่น มากับหน้าปัดสีดำ ขอบสเกลด้านนอกสีเทา
ส่วนรุ่นพิเศษ คือ
-
SPB517 ในตลาดโลก หรือ SBDC219 ในตลาดญี่ปุ่น มากับหน้าปัดสีดำ ขอบสเกลหลักชั่วโมงเป็นสีขาว และสเกลหมุนจับเวลาเป็นสีดำ เป็นรุ่นที่จับมือกับแบรนด์ Datsun ของ Nissan มีการผลิตออกมา 2,400 เรือนทั่วโลก
![]() |
![]() |
ในส่วนของกลไกเป็นรหัส 6R55 แบบอัตโนมัติที่มีการเพิ่มกำลังสำรองจาก 6R35 มาอยู่ที่ 72 ชั่วโมงหรือ 3 วัน พร้อมฟังก์ชั่น Date ในการแสดงวันที่ ผ่านทางหน้าต่างในตำแหน่ง 4.30 น. โดยกลไกรุ่นนี้มีความเที่ยงตรงในระดับ +25 ถึง -15 วินาทีต่อวัน และตัวนาฬิกามีความสามารถในการกันน้ำ 200 เมตร
Seiko Prospex Speedtimer SPB513 & SPB515 จะเริ่มทำตลาดในช่วงเดือนกันยายน โดยราคาจำหน่ายในญี่ปุ่นอยู่ที่ 137,000 เยนสำหรับรุ่นธรรมดา และ 176,000 เยนสำหรับรุ่น Limited Edition
รายละเอียดทางเทคนิค : Seiko Prospex Speedtimer SPB513 & SPB515
- เส้นผ่านศูนย์กลาง : 39.5 มิลลิเมตร
- Lug to Lug : 44.5 มิลลิเมตร
- ความหนา : 12 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือนและสาย : สเตนเลสสตีลเคลือบ Diashield
- กระจก : อัตโนมัติ รหัส 6R55
- ความถี่ : 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง
- กำลังสำรอง : 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน
- การกันน้ำ : 200 เมตร
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline