หลังจากเปิดตัวไปแล้วกับรุ่น Polaris Date และ Polaris Perpetual Calendar เมื่อปี 2024 ในตอนนี้ หน้าปัดสี Ocean Grey ที่มีความซับซ้อนในการผลิตเพื่อให้ได้มิติที่สวยงามนั้น ถูกนำมาใช้กับรุ่น Chronograph ของ Jaeger-LeCoultre Polaris โดยจะมากับตัวเรือน 42 มิลลิเมตรพร้อมกลไกอัตโนมัติ In-House Chronograph มีกำลังสำรอง 65 ชั่วโมง
Jaeger-LeCoultre Polaris Chronograph พิถีพิถันสู่ความงามบนหน้าปัด
-
เพิ่มทางเลือกใหม่ด้วยหน้าปัด Ocen Grey ที่เปิดตัวมาแล้วใน Polaris รุ่นอื่นเมื่อปี 2024
-
มากับตัวเรือน 42 มิลลิเมตร พร้อมฟังก์ชั่นจับเวลา และหน้าปัดที่มีการผลิตที่ซับซ้อน
-
ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ In-House Chronograph มีกำลังสำรอง 65 ชั่วโมง
Jaeger-LeCoultre เปิดตัวทางเลือกใหม่ในคอลเล็กชั่น Polaris Chronograph ซึ่งคราวนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของความโดดเด่นในเรื่องของจักรกลที่เป็นส่วนประกอบอยู่ภายในตัวเรือน แต่เป็นความซับซ้อนของขั้นตอนการผลิตหน้าปัดที่เคลือบแล็คเกอร์หลายชั้น และผ่านการขัดแต่งที่มีรูปแบบแตกต่างกันถึง 3 แบบจนกระทั่งได้ความงานบนโทนสีที่เรียกว่า Ocean Grey
Polaris Chronograph ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 เพื่อเป็นการนำเสนอความร่วมสมัยของนาฬิกาดำน้ำที่มีกลิ่นอายของความวินเทจซึ่ง Jaeger LeCoultre ให้ความสนใจกับตลาดกลุ่มนี้มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 โดยสามารุถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตและตีความเสน่ห์แบบวินเทจใหม่ในรูปแบบที่หรูหราและร่วมสมัยอย่างมั่นใจ
ตัวเรือนขนาด 42 มิลลิเมตรผลิตจากสเตนเลสสตีล มีความสมดุลและสวมใส่ได้อย่างลงตัว พร้อมกับรูปทรงที่ยึดมั่นในด้านเอกลักษณ์ของ Polaris คือ เส้นสายบนตัวเรือนที่เฉียบคม ความโค้งมนของขาสาย พร้อมการขัดในทุกรายละเอียดที่ลงตัว ขอบหน้าปัดมีความบางพร้อมกับกระจกแบบขอบยกสูง หรือ Box-Shaped โดยรุ่นที่ทำตลาดจะมีทั้งแบบสายรับเบอร์ และสายผ้าที่มาพร้อมกับระบบเปลี่ยนสายโดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือ หรือ Interchageable Starp มาให้ในเซ็ต
หน้าปัดสี Ocean Grey เปิดตัวมาก่อนหน้านี้ในปี 2024 กับนาฬิการุ่น Polaris Date และ Polaris Perpetual Calendar ตัวหน้าปัดมีโครงสร้างที่ซับซ้อน ประกอบด้วยแผ่นตรงกลาง วงแหวนตรงกลางสำหรับติดตั้งหลักชั่วโมง และวงแหวนด้านนอกที่มีสเกล Tachymeter การใช้เทคนิคการขัดบนพื้นที่ตรงกลางหน้าปัดเพื่อให้เกิดเอฟเฟ็กต์แบบซันเรย์สามารถสร้างความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนกับความเงาเรียบลื่น และจากการที่สีของแล็กเกอร์มีการไล่ระดับจากอ่อนไปเข้ม ทำให้หน้าปัดดูมีมิติมากขึ้น
การลงแล็กเกอร์บนชิ้นส่วนหน้าปัดเป็นกระบวนการที่ยาวนานและพิถีพิถัน โดยแต่ละชั้นของการเคลือบนั้นทำด้วยมือ เริ่มต้นด้วยการทาแล็กเกอร์ใส ตามด้วยสีสี่ชั้น จากนั้นจึงทาสีดำเพื่อสร้างเอฟเฟกต์ไล่เฉดสี ความท้าทายอยู่ที่การควบคุมทั้งเฉดสีและการไล่เฉดสีเพื่อให้ส่วนหลักทั้งสองของหน้าปัดเข้ากันได้ จากนั้นจึงเคลือบแล็กเกอร์โปร่งแสง 30 ชั้นเพื่อเพิ่มมิติของพื้นผิวและความเข้มของโทนสี
การจัดวางหน้าปัด Polaris Chronograph มีความโดดเด่นและสามารถอ่านค่าเวลาได้อย่างสะดวก ตัวหน้าปัดย่อยแบบ Bi-Compax จัดวางในตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกาสำหรับวงจับเวลา 30 นาที และ Small Second ของการแสดงเวลาส่วนหลัก ซึ่งการลงลายแบบวงกลมของหน้าปัดย่อยเหล่านี้เพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวหน้าปัด และตัดกันกับพื้นที่ซึ่งมีความเงาวาวของส่วนตรงกลาง สีส้มที่อยู่บนปลายเข็มวินาทีของระบบจับเวลา รวมถึงตัวเลขบนหน้าปัดย่อยทั้ง 2 และบนขอบด้านนอกตัวเรือน จะช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับองค์ประกอบโดยรวม
![]() |
![]() |
Polaris Chronograph หน้าปัดสีใหม่มาพร้อมกับฝาหลังแบบใส ซึ่งภายในบรรจุกลไกอัตโนมัติ In-House ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นจับเวลา เป็นรหัส Calibre 761 จับเวลาได้สูงสุด 30 นาที และมีกำลังสำรอง 65 ชั่วโมง ส่วนการกันน้ำอยู่ที่ 100 เมตร
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
Jaeger-LeCoultre Polaris Chronograph (Ref. Q9028651) ทำตลาดแล้ว โดยราคาในไทยอยู่ที่ 535,000 บาท
รายละเอียดทางเทคนิค : Jaeger-LeCoultre Polaris Chronograph (Ref. Q9028651)
- เส้นผ่านศูนย์กลาง : 42 มิลลิเมตร
- ความหนา : 13.39 มิลลิเมตร
- ความกว้างขาสาย 21 มิลลิเมตร
- วัสดุตัวเรือน : สเตนเลสสตีล
- วัสดุสาย : รับเบอร์/ผ้า
- กระจก : Sapphire Box-Shaped
- กลไก : อัตโนมัติ In-House แบบจับเวลา
- ความถี่ : 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง
- กำลังสำรอง : 65 ชั่วโมง
- การกันน้ำ : 100 เมตร
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigionline/
YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/anadigionline