Hamilton ODC X-03 Passion เท่านั้นที่จะทำให้คุณกล้าเป็นเจ้าของ

0

สำหรับนาฬิกาสุดเฉี่ยวอย่าง Hamilton ODC X-03 แน่นอนว่ามันคือการออกแบบที่เด่นและเจ๋งมาก แต่กับราคาหลายคนอาจจะต้องสะดุด ดังนั้น จึงต้องอาศัย Passion เท่านั้นในการช่วยให้ตัวเลขยอดขายเดินหน้าได้

Hamilton ODC X-03 Passion

Hamilton ODC X-03 Passion เท่านั้นที่จะทำให้คุณกล้าเป็นเจ้าของ

- Advertisement -

เคยไหมที่คุณชอบอะไรบางอย่างเพียงเพราะว่ามันถูกออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากอะไรสักอย่างหรือสองอย่างที่ดันเป็นสิ่งที่คุณชอบ ผมเชื่อนะว่าคุณน่าจะมีโมเมนท์นี้ เหมือนอย่างผมที่หลงรักเจ้า Hamilton ODC X-03 เพราะว่ามันได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงกับดาวพฤหัสที่ผมชอบและหลงใหลมาตั้งแต่เด็ก เช่นเดียวกับการเป็นนาฬิกาที่มีการสืบสานตำนานของภาพยนตร์เรื่อง 2001 : A Space Odyssey ที่ผมชอบมาตั้งแต่ยังเป็นหนังสื่อที่แต่งโดย Arthur C. Clarke ก่อนที่จะกลายมาเป็นภาพยนตร์สุดคลาสสิคในปี 1968 โดย Stanley Kubrick ซึ่งผมก็ชอบในตัวภาพยนตร์อีกเช่นกัน แถมยังถูกออกแบบโดยนักออกแบบฉากในภาพยนตร์ Interstellar ที่ผมโคตรชอบอีกด้วย…สรุปคือมีเหตุผลให้ชอบและหลงใหลในทุกด้าน

ตอนที่ได้เห็นหน้าค่าตาของ ODC X-03 เป็นครั้งแรกจากจากอินเตอร์เนตเมื่อปลายปี 2016 แบบยังไม่ต้องอ่านรายละเอียด ยอมรับเลยว่าเกิดสภาพอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลละ เพราะด้วยการที่มีดาวพฤหัสลอยเด่นอยู่กลางหน้าปัด แถมตัวนาฬิกาเองยังมีลูกเล่นและดีไซน์ที่แปลกตา มันคือนาฬิกาที่มาพร้อมกับความกล้าและสนุกที่จะทำอะไรให้หลุดออกจากความซ้ำซากและจำเจที่เห็นอยู่เป็นประจำทั้งเปิดตามเน็ต นั่งอ่านตามบอร์ด หรือยืนคุยกับเพื่อน ซึ่งผมค่อนข้างชอบกับวิธีคิดแบบนี้นะ แม้ว่าบางครั้งดูแล้วที่โอกาสจะได้แค่กล่อง แต่ไม่มีเงินตามมาจะค่อนข้างสูงถึงสูงมากก็ตาม

ODC X-03 ได้รับการออกแบบโดย Nathan Crowley ผู้ออกแบบฝ่ายการผลิต (โปรดักชั่นดีไซน์เนอร์) ระดับมือทอง ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสามครั้ง เคยฝากผลงานเนรมิตฉากต่างๆ ในภาพยนตร์เรื่อง Interstellar และเป็นการสานต่อคอลเล็กชั่น ODC ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งทาง Hamilton เปิดตัว  Limited Edition รุ่นแรกออกมาในรหัส X-01 ด้วยหน้าตาที่เหมือนกับเรือนที่พวกเขาผลิตเพื่อเข้าฉากในภาพยนตร์ 2001 : A Space Odyssey  และในปี 2009 ก็ผลิตออกมาอีกรุ่นในรหัส X-02 ก่อนที่จะหายไปนานร่วม 7 ปีถึงค่อยมี X-03 ออกมา

อย่างที่ผมเคยเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า ถ้ามองตามสเต็ปและความเกี่ยวพันกันแล้ว เราจะทราบว่าทำไมดาวพฤหัสบดีถึงโผล่ออกมาใน X-03 เพราะตามท้องเรื่องนี่คือดาวปลายทางที่มนุษย์ส่งยานออกไปสำรวจหลังจากที่พบว่ามีหินที่เรียกว่า Monolith แบบเดียวกับที่พบในโลก และว่ากันว่ามันเป็นประตู หรือ Star Gate ที่เปิดเข้าสู่อวกาศอันไกลโพ้น

ผมชอบอะไรที่แสดงให้เห็นว่าคุณมีจินตนาการ ซึ่งในภาพยนตร์สะท้อนตรงนี้ เช่นเดียวกับที่ Hamilton เองก็มีจินตนาการในการสื่อเอาองค์รวมทั้งหมดที่มีความเกี่ยวพันกันบวกกับไอเดียจาก Interstellar ที่ Hamilton ก็ดันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับการ Placement นาฬิกาของตัวเองเขย่าออกมาเป็น X-03

ODC X-03 มากับตัวเรือนทรงหกเหลี่ยม ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 52 มิลลิเมตร และ Lug-to-Lug 49 มิลลิเมตร เรียกว่าอยู่ในระดับที่อาจจะดูใหญ่ในเชิงตัวเลข แต่เมื่อคาดอยู่บนข้อมือขนาด 7 นิ้วของผมแล้วถือว่าพอดีและลงตัวมาก ซึ่งคิดว่าใครที่มีข้อมือเล็กกว่านี้แต่ไม่ค่ำกว่า 6.5 นิ้วก็น่าจะรับมือกับขนาดของมันได้ ขณะที่ตัวเรือนเมื่อคาดอยู่บนข้อมือแล้วก็ไม่ได้สร้างภาระอะไร เพราะแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็ผลิตจากไทเทเนียมแบบเคลือบ PVD

สิ่งที่น่าสนใจใน X-03 คือ การออกแบบ ซึ่ง Crowley นำแนวคิดในส่วนของสถานีอวกาศ Endurance จากภาพยนตร์เรื่อง Interstella เข้ามาผสมผสานกับการออกแบบ มีลักษณะเป็นวงกลม และมีจุดเชื่อมเข้าสู่ตัวสถานีหลัก ซึ่งก็คือ วงหน้าปัดที่เป็นวงใหญ่สำหรับแสดงเวลาในส่วน Local  และมีวงเล็กประกบคู่สำหรับแสดงเวลาในส่วน UTC และ Home นั่นทำให้ X-03 สามารถแสดงเวลาได้ทั้งหมด 3 ที่โดยในวงย่อยเล็กๆ จะมีแค่เข็มชั่วโมงเท่านั้น ส่วนนาทีก็ดูร่วมเอาจากวง Local

สำหรับตัวดาวพฤหัสบดีที่เป็นพื้นของหน้าปัดและกินพื้นแบบไม่เต็มวงหน้าปัด (นั่นเลยทำให้เราสามรถมองทะลุระหว่างกระจกหน้าและฝาหลังแบบใสได้) โดยตรงนี้ต้องใช้กระบวนการมากกว่า 120 ขั้นตอนซึ่ง Hamilton ได้เลือกใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่างการพิมพ์แบบสามมิติและการแกะสลักด้วยเลเซอร์เข้ามาตอกย้ำความเป็นเรือนเวลาแห่งอนาคตได้อย่างเต็มภาคภูมิ ขณะที่ด้านหลังตัวเรือนเป็นแบบเปลือยโดยมีกระจก Sapphire ครอบอยู่ และมองเห็นแผ่นโลหะที่มีการสลักข้อมูลต่างๆ ของดาวพฤหัสบดี เช่น ขนาด อุณหภูมิ X-03 มาพร้อมกับสายผ้าเย็บบุสายด้านในด้วยหนัง โดยความกว้างของสายอยู่ที่ 24 มิลลิเมตร

ใครที่สงสัยว่าเม็ดมะยมอยู่ไหน ก็ไม่ต้องตกใจเพราะหาง่าย นั่นคือแท่งที่ถูกพับเอาไว้ 3  จุดประจำวงหน้าปัดย่อย  ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก แค่งัดออกมา และหมุนเพื่อคลายเกลียวจากนั้นก็ดึงขึ้นเพื่อตั้งเวลา โดยแต่ละแท่งจะควบคุมการหมุนปรับเวลาของแต่ละวงอย่างอิสระ ตอนดึงออกไม่ยาก แต่ตอนพับอาจจะลำบากนิดหน่อย เพราะต้องหมุนให้ได้มุมถึงจะสามารถพับลงได้ ถ้าลองดูแล้วตอนกดลงเก็บมันฝืนๆ ก็อย่าฝืนกดลงไป เพราะนั่นแสดงว่ายังไม่ลงล็อค ให้ลองดึงออกมาและคลายเกลียวปรับใหม่  อ่านดูอาจจะยุ่งยาก แต่ลองทำไม่กี่ทีก็จะรู้เทคนิคแล้ว

ในส่วนของกลไกนั้น สำหรับหน้าปัดหลักที่เป็น Local นั้นจะใช้กลไกอัตโนมัติ ETA2671 ซึ่งมีเส้นผ่านกลางของกลไกเพียง 17 มิลลิเมตรนิดๆ สำรองพลังงาน 38 ชั่วโมง และเดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง และอีก 2 วง เป็นกลไกควอตซ์รหัส ETA901.001 และจากการตัดเข็มนาทีและวินาทีออกไป ก็เลยหมดปัญหาการเห็นเข็มวินาทีกระตุกของนาฬิกาควอตซ์ออกไป

ส่วนที่ชวนสงสัยคือ ขนาดของกลไกเหล่านี้มีขนาดที่เล็กมาก และเมื่อพลิกดูด้านหลังแล้ว ดูเหมือนว่ากลไกควอตซ์ที่ต้องการการเปลี่ยนถ่านนั้นอาจจะเจองานหนักเมื่อถึงคราวเข้าเซอร์วิสเพราะต้องถอดนอตทั้งฝาหลัง และป้ายด้านหลังที่เป็นเพลทแสดงข้อมูลดาวอังคาร เรียกว่าถ้าช่างไม่ประณีต ทำไม่ดี เกิดเป็นรอยขึ้นมาแล้วละก็กลายเป็นตำหนิที่กวนใจได้เลย

มาถึงตรงนี้ ทั้งหน้าตา และเรื่องเล่าอันเป็นที่มาของโปรเจ็กต์นี้เป็นอะไรที่น่าสนใจและสอบผ่านในแง่มุมของผม แต่ติดอย่างเดียวตรงที่ความคุ้มค่ากับราคา เพราะด้วยสิ่งที่มีอยู่ในตัวนาฬิกากับราคาที่ตั้งเอาไว้ในระดับ 133,500 บาท แทบไม่ต้องคิดเลยว่างานนี้จะหินขนาดไหนในการสร้างยอดขาย เพราะสิ่งที่มีอยู่ใน X-03 นอกจากเรื่องเล่า และงานดีไซน์ที่สุดสวยแล้ว ฟังก์ชั่นการแบ่ง 3 ไทม์โซนก็ไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่อะไรในการที่จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าคุ้มค่ากับค่าเงินที่จ่ายไป

ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้ตัวเลขยอดขาย 999 เรือนที่ถูกผลิตออกมาค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ คงต้องหาคนที่มี Passion อย่างผมเพียงอย่างเดียวแล้วละ ไม่ต้องเอาเหตุผลหรือปัจจัยอะไรมากมายเข้ามาคิด ซึ่งแน่นอนว่ามันน่าจะหาได้ยาก แต่คงไม่ยากเกินความสามารถ และที่มีข่าวว่าเข้ามาขายในบ้านเรา แว่วข่าวมาว่าขายไปได้แล้วด้วย  นั่นแสดงว่าคำว่า Pasion ยังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีเหมือนเดิม

คุณสมบัติของ : Hamilton ODC X-03 Passion

  • ขนาดตัวเรือน : 49X52 มิลลิเมตร
  • วัสดุตัวเรือน :ไทเทเนียมเคลือบ PVD
  • หน้าปัด : พิมพ์สามมิติรูปดาวพฤหัสพร้อม 3 หน้าปัดย่อย
  • กลไก : อัตโนมัติ ETA2671 และควอตซ์ ETA 901.001
  • กระจกหน้า/หลัง : Sapphire เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้ง 2 ด้าน
  • ระดับการกันน้ำ : 100 เมตร
  • จุดประทับใจ : ความสวย แปลก และลูกเล่นในการเชื่อมต่อคอนเซ็ปต์ของนาฬิกาให้เข้ากับที่มา
  • จุดที่ไม่ประทับใจ : เม็ดมะยม และราคา