ทำไม Casio MRGG2000HA-1A ถึงแพง

0

สมัยนี้ Casio G-Shock ราคาป้ายหลักแสน โดยเฉพาะรุ่น MR-G ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางคนอาจจะยังไม่คุ้นก็เลยเกิดคำถามขึ้นมา และวันนี้เราพยายามหาคำตอบมาให้

Casio MRGG2000HA-1A
ทำไม Casio MRGG2000HA-1A ถึงแพง

ทำไม Casio MRGG2000HA-1A ถึงแพง

  • เมื่อเทคโนโลยีมาเจอกับงานศิลป์บนตัวเรือน Casio MRGG2000HA-1A
  • ผลิตเพียง 350 เรือน แต่เข้าไทยเพียง 5 เรือน
  • ราคาในบ้านเราตั้งเอาไว้ที่ 320,000 บาท
- Advertisement -

เชื่อว่าใครที่ได้ไปงาน Central International Watch Fair ที่เซ็นทรัลชิดลม

แล้วเดินที่ไปที่เคาน์เตอร์ของ Casio อาจจะช็อคเมื่อได้เห็นราคาของนาฬิการุ่นหนึ่งซึ่งก็คือ Casio MRGG2000HA-1A ที่มีป้ายราคาวางข้างๆ 320,000 บาท

พร้อมกับเกิดคำถามว่าทำไมมันถึงแพงเช่นนี้

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนทั่วไปจะตั้งคำถามนี้ เพราะในมุมมองของคนปกติที่รับรู้ต่อ G-Shock คือ นาฬิกาที่ใส่ง่าย ราคาไม่สูง แต่สำหรับแฟนๆ ที่เหนียวแน่นคำถามนี้คงไม่เกิด เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ทราบในระดับหนึ่งว่า G-Shock ไม่ได้มีแค่ไลน์อัพนาฬิการุ่นธรรมดาเท่านั้น แต่มีหลายระดับราคาไล่ตั้งแต่มาตรฐานไปจนถึงกลุ่ม Premium ซึ่งในปัจจุบันถูกชูขึ้นมาเพื่อแข่งกับแบรนด์จากสวิสส์ฯ ไม่ต่างจากที่ Nissan ยกระดับ GT-R ขึ้นมาเพื่อปะทะกับ Porshce 911

มาถึงคำถามสำคัญแล้ว ทำไม Casio MRGG2000HA-1A ถึงแพงขนาดนี้ ?

ถ้าเราติดตาม G-Shock กันมาสักระยะ โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า Casio พยายามที่จะดัน Premium Collection ของตัวเองออกมาอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะผ่านทางงาน Basel World ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเรามักจะได้เห็น G-Shock ราคาหลักแสนออกมาอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะผ่านทางกลุ่ม MR-G ที่ถือว่าเป็น Flagship ของ G-Shock

อย่างที่ Basel World 2017 ก็เคยเปิดตัวออกมาก่อนรุ่นหนึ่งที่ชื่อว่า MRGG2000HT-1A ก็ราคาแรงสุดๆ แต่ผลิตเยอะกว่า โดยอยู่ที่ 500 เรือน ขณะที่ผู้มาทีหลังอย่าง MRGG2000HA-1A มีแค่ 350 เรือน แต่ทั้งคู่ราคาตั้งในสหรัฐอเมริกาเท่ากันที่ 7,400 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 244,000 บาทแล้ว

นาฬิกาในตระกูล MR-G ถือว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์และมีแพงอยู่แล้ว รุ่นพื้นฐานอย่าง MRGG1000 Series ก็มีราคาตั้งอยู่ที่ 2,600 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 86,000 บาทโดยประมาณ ซึ่งความแพงก็มาจากเรื่องของการเลือกใช้วัสดุ ความทันสมัย ซึ่งในรหัส MRGG1000 ปรับเวลาตาม GPS และ Multiband 6 รวมถึงคุณภาพการผลิตเพราะมาจาก Premium Production Line ของ Casio ที่เมือง Yamagata ประเทศญี่ปุ่น

ดังนั้น เมื่อของราคาแรงอยู่แล้วมาบวกกับแนวคิดในการผลิตด้วยการเติมเรื่องราวที่น่าสนใจเพื่อเป็นตัวทำให้เกิดความรู้สึกในด้านความพิเศษให้มากขึ้นจากรุ่นปกติคือ การผสมผสานเรื่องงานศิลป์กับเทคโนโลยี ราคามันก็เลยสามารถขยับไปได้อีก

ในแง่ของเทคโนโลยีนั้น MRGG2000HT-1A และ MRGG2000HA-1A ถูกพัฒนาให้เหนือระดับขึ้น โดยในปี 2017 ทาง Casio ได้นำ Module ใหม่แบบ 3-Way Connected ที่เชื่อมต่อทั้งสัญญาณวิทยุผ่านทาง Multiband6 การปรับเวลาตามพื้นที่โดยอาศัยสัญญาณ GPS และการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เข้ากับ Smartphone ผ่าน Application มาใช้กับนาฬิการุ่นใหม่ๆ และ MR-G-G2000 ที่ถูกอัพเกรดจาก MR-G-G1000 คือ หนึ่งในนั้น โดยรุ่นธรรมดาของ MRGG2000 ที่ใช้ Module ใหม่ น่าตาทันสมัยขึ้นก็ขยับจาก G1000 มาอยู่ที่ 3,700 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 122,000 บาท…ตรงนั้นคือเรื่องของเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามา

ส่วนอีกอันที่ดูแล้วน่าจะมีผลมากกว่าคือ การสร้าง Story ซึ่งที่ผ่านมาแฟน Casio อาจจะไม่คุ้นเรื่องนี้ ไม่เหมือนทางฝั่งสวิสส์ ซึ่งพอหงายการ์ด Story หรือ Heritage ออกมาแล้วสามารถอัพราคาขึ้นได้ในบัดดล ดังนั้น Casio ก็เลยจับเอางานศิลป์ที่โด่งดังของญี่ปุ่นและมีเรื่องราวมาอย่างยาวนานอย่างการผลิตดาบซามูไรมาใช้…และก็ดูจะได้ผลด้วย

ในรุ่น MRGG2000HT-1A เป็นการจับมือกับช่างในตำนานซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 แล้วของตระกูลผู้ผลิตดาบซามูไร นั่นคือ Biho Asano ซึ่งในรุ่นก่อนหน้านี้คือ MRGG2000HA-1A ก็มาจากฝีมือในการสร้างสรรค์ของเขาเช่นกัน โดย Asano ได้ใช้เทคนิคการตีเหล็กสำหรับใช้สร้างลวดลายบนการ์ดที่บังมือบนดาบซามูไร หรือที่เรียกว่า Tetsu-Tsuba มาใช้กับการใช้ค้อนตีบนวัสดุที่ใช้ในการผลิต หรือ Hammer Texture Tone เพื่อให้ได้ลวดลายที่สวยงามตามแบบฉบับและมีเอกลักษณ์ของ Asano ซึ่งเรียกว่า Arashi-Tuchime จากนั้นจึงนำไปเคลือบ AIP Coating (Arc Ion Plating) ซึ่งเป็นกรรมวิธีการเคลือบพื้นผิวที่ใช้กับเครื่องยนต์เจ็ต และในรุ่นนี้เลือกเคลือบออกแนวโทนน้ำตาลอ่อนแบบทองแดงหรือ Suaka และมีสีม่วง หรือ Murasaki-Gane แซมลงไปคล้ายกับประกายที่พบได้ในดาบซามูไร ขณะที่ข้อต่อของสายก็ใช้เทคนิคการตีลวดลายแบบนี้ด้วยเช่นกันตรงข้อกลาง ดังนั้นเมื่อมึสุดยอดฝีมือเข้ามาร่วมด้วย ความพิเศษก็เกิดขึ้นมาได้ทันที

ในส่วนของวัสดุนั้นจริงอยู่ที่ตัวเรือนขนาด 49.8 มิลลิเมตร และสายผลิตจากไทเทเนียม แต่มันก็มีความพิเศษกว่าไทเทเนียมปกติเพราะผ่านการเคลือบผิวหลายชั้นจนกระทั่งมีความแข็งแรงและทนทานต่อการขีดข่วนกว่าไทเทเนียมธรรมดาถึง 5 เท่า ส่วนกระจกเป็นแบบ Sapphire พร้อมเคลือบสารกันการสะท้อนแสง

ราคาขายในบ้านเราตั้งอยู่ที่ 320,000 บาท และแน่นอนว่าทั่วโลกมีผลิตออกมาเพียง 320 เรือน แต่สำหรับเมืองไทย จะมีแค่ 5 เรือนเท่านั้น ใครที่สนใจก็รีบให้ไวเลย