อีกไม่นานชื่อของ Zimbe จะกลายมาเป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนกลับมาสนใจอีกครั้ง เพราะในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ นอกจากการแถลงข่าวแคมเปญแล้ว ทาง Seiko กำลังจะเปิดตัว Zimbe ตัวที่ 4 ออกมา และคราวนี้ว่ากันว่าจะเป็น Sumo Zimbe ดังนั้น ในวันนี้เรามาทำความรู้จักกับชื่อนี้กันดีกว่า
Seiko Zimbe มารู้จักจิตวิญญาณแห่งท้องทะเล
ในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ ทาง Seiko จะมีการจัดงานแถลงข่าวเรื่องของแคมเปญพิเศษ เช่นเดียวกับการเตรียมเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ออกมา ซึ่งในตอนนี้ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว โดยจะเป็นเวอร์ชันที่ 4 ของ Zimbe ซึ่งคราวนี้ยังวนเวียนอยู่ในกลุ่มนาฬิกาดำน้ำเหมือนเดิม และเป็นคิวของ Sumo
จะว่าไปแล้วการจัดงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสครบรอบ 1 ปีของโปรเจ็กต์นี้ หลังจากที่พวกเขาเปิดตัวนาฬิกาเวอร์ชัน Zimbe พร้อมกับการดึงอนันดา เอเวอริงแฮม ดารานักแสดงชาวไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการปรับตลาดและขยับแบรนด์ของตัวเองให้เป็นนาฬิกาสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเน้นไปที่กลุ่ม Gen Y มากขึ้น
ตามเอกสารของ Seiko นั้นระบุว่า Prospex Zimbe Limited Edition เป็นนาฬิกาดำน้ำคอลเลกชันในแคมเปญ SEIKO Zimbe ดีไซน์ขึ้นเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Move your adventurous mind further” ให้ใจไปไกลกว่าเคย ซึ่งคอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “ฉลามวาฬ” ที่เป็นนักเดินทางตัวจริง ไม่เคยหยุดว่ายน้ำเลยสักวินาทีเดียว และในช่วงชีวิตหนึ่งของปลาฉลามวาฬมันเดินทางกว่าล้านกิโลเมตรหรือมากกว่า 25 รอบของโลก เช่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ที่ชอบการผจญภัย ที่มุ่งมั่นเสาะแสวงหาและเดินทางเพื่อความสำเร็จในชีวิต โดยคำว่า Zimbe มาจากคำว่า Jinbe Zame ที่แปลว่าฉลามวาฬในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง
และจากจุดเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว ทาง Seiko ในบ้านเราก็ได้เปิดตัว Zimbe ออกมาทั้งหมด 3 เวอร์ชันด้วยกันแน่นอนว่าหลายคนที่อาจจะเพิ่งหลุดเข้ามาวนเวียนอยู่ในโลกของ Seiko อาจจะยังไม่คุ้นหูกับ Zimbe วันนี้เรามาทำความรู้จักกับนาฬิกาทั้ง 3 รุ่นที่ถูกผลิตออกมากัน
SRPA19K1 : เป็นรุ่นแรกของเวอร์ชันนี้ที่เปิดตัวออกมาพร้อมกับอนันดา จนหลายคนมักจะเรียกว่าเต่าอนันดา มากกว่า Zimbe รุ่นแรก ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกอะไรเพราะตัวนาฬิกาที่ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานนั้นคือ Turtle Re-Edition ซึ่งมาพร้อมกับตัวเรือนขนาด 44 มิลลิเมตร เปลี่ยนกระจกจาก Hardlex ในรุ่นปกติมาเป็น Sapphire พร้อมเลนส์ Cyclope ในรุ่นนี้ เช่นเดียวกับเข็ม หน้าปัด และ Bezel ที่ออกแบบให้รับกับสีเทา ส่วนกลไกก็ยังเหมือนเดิมเป็นรหัส 4R36 มาพร้อมกับฟังก์ชั่น Day/Date และสำรองพลังงานได้ 41 ชั่วโมง
สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่ที่ไม่ถึงกับอลังการ แต่ก็ทำให้คนซื้อรู้สึกได้ถึงความเป็นลิมิเต็ด เช่นเดียวกับการแถมสายยางสีเทา ซึ่งยังไม่มีใช้อยู่ใน Turtle Re-Edition รุ่นปกติ ส่วนค่าตัวก็ขยับมากที่มีราคาหน้าตู้ในระดับหมืนกลางๆ มาเป็น 23,000 บาท โดยมีการผลิตออกมา 1,299 เรือนเท่านั้น และก็หมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเป็นการคัมแบ็คมาสู่ตลาด Limited Edition อย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งของ Seiko และอาจจะด้วยกระแสของอนันดาก็น่าจะมีส่วน
สถานการณ์ในตอนนี้ : อาจจะเพราะเป็นรุ่นแรกของคอลเล็กชั่น และมีสีสันที่สวย รวมถึงความนิยมของเต่าของบรรดานักสะสมทำให้การตามหา Zimbe รุ่นแรกเป็นอะไรที่เกิดขึ้นบ่อยมาก และในเมื่ออุปสงค์มีมาก อุปทานก็ต้องขยับตาม เราจึงได้เห็นราคาของ Zimbe รุ่นนี้ ขยับไปสู่ระดับ 30,000 บาทแล้วสำหรับของใหม่
SLA013J1 :ทิ้งระยะเพียงแค่เดือนเดียวที่เต้าอนันดาออกวางขายในตลาดพร้อมกับสัญลักษณ์ของ Zimbe ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า Seiko จะกระหน่ำตลาดทันทีด้วยฉลามวาฬตัวที่ 2 กับรหัส SLA013J1 ที่คราวนี้ขยับขึ้นไปเจาะตลาดระดับบนเพราะใช้ Base ของ MM300 หรือ MarineMaster ตัวกลไกอัตโนมัติ โดยโดดเด่นด้วยหน้าปัดเวฟแพทเทิร์นสีไลฟ์บลู แถมยังดูล้ำสมัยด้วยการผลิตแบบตัวเรือนชิ้นเดียว (One-piece structure) เพื่อปกป้องแก๊สฮีเลี่ยมเข้าไปในตัวเรือนในขณะที่ทำงานอยู่ใน Chamber หรือ Tank ใต้ท้องทะเล อีกทั้งยังมีคาร์ลิเบอร์ 8L35 ที่มีทั้งคุณภาพความอึด จึงมีความเที่ยงตรงสูง ที่สำคัญยังสำรองพลังงานที่ยาวนานได้ถึง 50 ชั่วโมง
นอกจากนั้น รุ่นนี้ยังมีขายอยู่ในเยอรมนีโดยทางดีลเลอร์ของ Seiko ในเยอรมนีได้ผลิตออกขายแบบจำนวนจำกัด 200 เรือน และใช้รหัส SLA015 ด้วย
สำหรับรุ่นนี้ราคาเปิดในช่วงแรกอยู่ที่ 89,000 บาท และมีการผลิตออกมาเพียง 222 เรือน ซึ่งก็หมดไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน ก่อนที่ทาง Seiko จะนำเบอร์ 1 ออกมาประมูลออนไลน์ทาง FB Live ซึ่งปิดราคาไปแบบไม่ค่อยสะใจเท่าไร แค่แสนต้นๆ เท่านั้นเอง ทั้งที่น่าจะไปได้ไกลกว่านั้น
สถานการณ์ตอนนี้ : ก็ยังเป็นนาฬิกาที่บรรดา Seikomania ทั้งหลายตามหา เพียงแต่ราคาไม่พุ่งทะยานเหมือนกับ Zimbe ตัวแรก เรียกว่ายังหาได้ในระดับราคาวงเงิน 80,000 บาท
SRPA47J1 : Zimbe ตัวที่ 3 ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก Baby Tuna 50 ปี ด้วยการใช้บอดี้ตัวเรือนขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 50.2 มิลลิเมตรมาเป็นต้นทางในการพัฒนา โดยมีการเปลี่ยนหน้าปัดใหม่ เช่นเดียวกับชุดเข็ม ส่วนขอบตัวเรือนสเตนเลสสตีลนั้นถูกตกแต่งด้วยเทคนิค ฮอร์นิ่ง ฟินิช ขณะที่พื้นหน้าปัดมาในโทนสีขาวนวล เสริมความเด่นด้วยหลักชั่วโมงและเข็มสีดำ สวมเข้าคู่มากับสายยางซิลิโคนสีดำ ขับเคลื่อนด้วยกลไกขึ้นลานอัตโนมัติรหัส 4R36
ตรงนี้จะว่าไปแล้วเจ้า Baby Tuna 50 ปีเป็นนาฬิการุ่นเดียวที่เกิดในแบบรุ่นพิเศษก่อน เพราะก่อนหน้าที่จะเปิดตัวเวอร์ชัน 50 ปีออกมานั้น Seiko ยังไม่เคยผลิตรุ่นธรรมดาออกมาขายเลย เรียกว่าเปิดตัวออกมาก็เจอกับรุ่น 50 ปี เลย จากนั้นค่อยมาเป็นรุ่น Zimbe และค่อยถึงคราวของรุ่นธรรมดาที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2017
สำหรับ Zimbe รุ่นที่ 3 มีการผลิตออกมาเพียง 1,286 เรือน โดยมีราคาอยู่ที่ 25,900 บาท
สถานการณ์ตอนนี้ : อาจจะเพราะมีการเปิดตัวถี่ แถมตัวเรือนมีขนาดใหญ่ เลยทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าที่ควรทั้งที่เป็น Zimbe ที่ดูลงตัวที่สุดในบรรดา 3 รุ่น (อันนี้มุมมองของผมนะครับ) ดังนั้น เราจึงยังเห็นของวนเวียนอยู่ในตลาดทั้งของใหม่และของมือ 2 ซึ่งถ้าแบบแรกก็มีราคาอยู่ระหว่าง 19,000-20,000 บาท แต่ถ้าเป็นของมือสองก็อยู่ราวๆ หมื่นกลางๆ
Fanpage : https://www.facebook.com/anadigiwatch/